
ยันสภามรภ.เพชรบูรณ์ ใช้อำนาจตามกม.แก้ข้อบังคับสรรหาทีมบริหาร
นายกสภามรภ.เพชรบูรณ์ ยันใช้อำนาจตามกม.ลั่น30มิ.ย.หากเสนอวาระแก้ไขการสรรหาผู้บริหาร 3 ตำแหน่งก็พร้อมพิจารณา อธิการบดี ลั่นการแก้ไขประชาคมมีส่วนร่วม
สืบเนื่องจาก ดร.นงลักษณ์ อานี คณบดีคณะมนุษยศาสตร์ฯ มรภ.เพชรบูรณ์ ร้อง นายกฯ-รมว.ศึกษาธิการ ให้สั่งสภามรภ.เพชรบูรณ์ ยุติแก้ไขข้อบังคับสรรหาอธิการบดี คณบดี และผอ. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2559 หวั่นสร้างความเสียหายสถาบันนั้น ทีมข่าวได้ติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้ ผลปรากฎว่า สภามหาวิทยาลัยราชภัฎ (มรภ.) เพชรบูรณ์ยังคงระบุ (ร่าง) ข้อบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ว่าด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหาและคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี พ.ศ. .... และ(ร่าง) ข้อบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ว่าด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหาและคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี พ.ศ. .... ไว้ในวาระที่ 5 เรื่องเสนอเพื่อพิจารณาให้ความคิดเห็นชอบ ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ครั้งที่ 5/2559 วันที่ 30 มิภุนายน 2559 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมอินทผาลัม ชั้น 2 สำนักงานอธิการบดี ทั้งที่ (ร่าง) ข้อบังคับทั้ง 2 ตำแหน่งยังไม่ผ่านประชาคมมหาวิทยาลัย
รศ.ดร.สมเจตน์ ภูศรี นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฎ (มรภ.) เพชรบูรณ์ กล่าวว่าขณะนี้สภามหาวิทยาลัยยังไม่ได้พิจารณาร่างแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว จึงไม่สามารถบอกได้ว่าจะยุติ การแก้ไขหรือไม่อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมา ที่สภามหาวิทยาลัยมีมติให้ปรับแก้ไขข้อบังคับฯ นั้น เนื่องจากมองเห็นว่า ข้อบังคับดังกล่าวมีความไม่เหมาะสม และเพื่อให้เป็นตามนโยบาย และประโยชน์ของมหาวิทยาลัย ดังนั้น ในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ เมื่อคณะอนุกรรมยกร่างกฎหมายฯ ที่แต่งตั้งโดยสภามหาวิทยาลัยนำเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม ก็คงต้องพิจารณาว่าเป็นไปตาม พระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัย มีความเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งหากมีประเด็นที่จะอาจจะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ถูกต้อง สภามหาวิทยาลัยก็อาจจะยุติการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สภามหาวิทยาลัยชุดนี้ ได้ดำเนินการตามหน้าที่ ตามกฎหมายที่กำหนด อย่างไรก็ตาม จะให้สภามหาวิทยาลัยยุติการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว ได้นั้น ถ้าไม่มีวาระเข้าในที่ประชุมก็อาจจะไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ แต่หากมีการนำวาระดังกล่าวเข้าที่ประชุม สภาก็ต้องพิจารณาตามอำนาจหน้าที่
ด้านรศ.ดร. เปรื่อง จันดา. อธิการบดี มรภ.เพชรบูรณ์ กล่าวว่า ตนได้เป็นผู้เสนอให้มีการปรับแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าข้อบังคับหลายๆ ข้อที่กำหนดไว้นั้น ไม่เหมาะสม ถูกต้อง และเป็นช่องโหว่ ไม่เป็นไปตามหลักสากล อาจจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่มหาวิทยาลัยได้ เพราะตำแหน่งอธิการบดี คณบดี เป็นฝ่ายบริหารในการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยให้มีคุณภาพ เช่น การหยั่งคะแนนเสียงสรรหาอธิการบดี ตามข้อบังคับเดิม กำหนดไว้ว่า ผู้ที่มีสิทธิ์หยั่งเสียง สามารถเสนอรายชื่อได้ 3 คน ทั้งที่ตามหลักสากล 1 คนควรมีสิทธิ์ 1 เสียง และหากผู้มีสิทธิ์หยั่งเสียง ไม่เสนอรายชื่อครบ 3 คน ถือว่าเป็นบัตรเสีย เป็นต้น ตนมองไม่ถูกต้อง จึงได้เสนอให้สภามหาวิทยาลัยให้มีการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว และทางสภามหาวิทยาลัยก็เห็นชอบ โดยมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณาแก้ไขข้อบังคับ ทั้งนี้ ในการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว ขณะนี้ ไม่ใช่อำนาจของตนที่จะเป็นผู้เสนอเข้าที่ประชุมสภาหรือไม่ เป็นอำนาจของคณะอนุกรรมการฯ ว่าจะเห็นชอบเช่นใด และหากมีการนำเสนอเข้าที่ประชุมสภา ก็เชื่อว่าสภาฯจะพิจารณาตามความเหมาะสม ถูกต้อง ทั้งนี้ ในการนำเสนอแก้ไขร่างข้อบังคับต่างๆ นั้น ได้มีตัวแทนจากคณาจารย์ อาจารย์ และประชาคมของมหาวิทยาลัยร่วมแสดงความคิดเห็น พิจารณาปรับแก้ ในทุกขั้นตอน ดังนั้น เรื่องการปรับแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว เป็นการรับฟังความคิดจากประชาคมของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ฝ่ายบริหารอยากทำอะไรก็สามารถทำได้
ทั้งนี้ สำหรับข้อบังคับการสรรหาอธิการบดีฉบับปัจจุบันให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาอธิการโดยให้ข้าราชการและบุคลากรของมหาวิทยาลัยมีส่วนร่วมโดยการหยั่งเสียงลงคะแนนให้เหลือผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีจำนวน 3 คนและแต่ละคนจะต้องได้รับคะแนนจากผู้มาใช้สิทธิหยั่งเสียงอย่างน้อยร้อยละ 30 ของผู้มาใช้สิทธิหยั่งเสียงทั้งหมด ส่วนวิธีการสรรหาคณบดีปัจจุบันคือให้สรรหาบุคคลที่สมควรดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีมาให้ได้จำนวน 1 คนโดยใช้วิธีการเลือกตั้งจากบุคลากรในคณะ แล้วเสนอรายชื่อต่อสภาเพื่อพิจารณาแต่งตั้งต่อไปตรงข้ามกับ(ร่าง) ข้อบังคับ ของอนุกรรมการยกร่างกฎหมายของสภามหาวิทยาลัยที่กำหนดให้การสรรหาอธิการบดีหรือคณบดีให้บุคลากรประเมินโดยการหยั่งเสียงมีสัดส่วนเพียง 50 คะแนน และให้คณะกรรมการสรรหาอธิการบดีซี่งมีจำนวน 7 คน หรือ 9 คนในกรณีสรรหาคณบดี อีก 50 คะแนน รวม 100 คะแนน แล้วให้เสนอชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งอธิการบดีจำนวนไม่เกิน 3 รายชื่อ ส่วนคณบดีเสนอไม่เกิน 2 รายชื่อต่อสภาเพื่อพิจารณาคัดเลือกต่อไป



