
'ผศ.พิศศรี กมลเวชช'ครูผู้มุ่งมั่นทุกสิ่งสรรค์เพื่อภาษาไทย
'ผศ.พิศศรี กมลเวชช'ครูผู้มุ่งมั่นทุกสิ่งสรรค์เพื่อภาษาไทย : พนอ ธรรมเนียมอินทร์รายงาน
“ช่วยด้วย...”
“เขาไม่รู้ว่าเขาไม่รู้”
“อย่าเอาง่ายเข้าว่า...ต่อไปผิดจะกลายเป็นถูกได้...เอะอะก็ไม่เป็นไร การเห็นว่าไม่เป็นไรน่าจะเป็นอันตรายทุกเรื่อง”
คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงบางประโยคของ “ผศ.พิศศรี กมลเวชช” ที่กล่าวเสมอด้วยความรักและห่วงใยภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติไทยของเรา เป็นภาษาแม่ และท่านมักมีคำสำคัญต่อท้ายว่า “ภาษาไทยน่ารักที่สุดในโลกที่ชาติอื่นเขาไม่มี คนโบราณท่านฉลาด ท่านคิดไว้ให้เราอย่างดีแล้ว โปรดเชื่อกันบ้างเถิด เวลาจะพูด จะเขียน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำหน้าที่เป็นแบบอย่างให้คนอื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม..."
เป็นเวลานานกว่าสิบปีที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเรียนรู้ภาษาไทยด้านต่างๆ จากท่านโดยมิได้มีโอกาสพบท่าน
ครั้งแรกที่ “อาจารย์สนั่น มีขันหมาก” ซึ่งขณะนั้นทำงานที่ สปช. (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ) มาบันทึกเสียงสื่อการสอนดนตรีไทยกับผู้เขียนที่ “ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา” สำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) และกล่าวถึงท่านว่า เป็นสุดยอดของครูภาษาไทยคนหนึ่ง ที่เชี่ยวชาญเรื่องการสอนผันวรรณยุกต์ การสอนแจกลูก สะกดคำ
แล้วต่อมาท่านก็กรุณารับเชิญเป็นวิทยากรใน “รายการวิทยุโรงเรียน” ที่ผู้เขียนรับผิดชอบ กระทั่งสองปีกว่ามานี้ท่านเป็นวิทยากรประจำช่วงภาษาไทยในชั่วโมงนักอ่าน รายการชั่วโมงนักอ่าน สถานีวิทยุศึกษา กศน. ท่านได้รวบรวมร้อยเรียงเรื่องราวของการใช้ภาษาไทยที่ถูก ที่ควร ที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน ที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวัน และจากประสบการณ์การทำงานของท่านมาเล่าในรายการ จนทำให้ผู้ฟังส่งจดหมายและไปรษณียบัตรเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่านตลอดเวลาด้วยความขอบคุณ บางคนถึงกับเรียกท่านว่า “แม่ครูพิศศรี” เพราะขับแท็กซี่ไปฟังท่านคุยไป แล้วจำไปสอน
ลูกสาวที่กำลังเรียน ม.2 เพื่อนครูหลายคนบอกว่า ได้นำความรู้และข้อคิดไปสอนนักเรียนต่อ บางคนฟังแล้วบอกว่า...ทำให้คิดถึงสมัยที่เรียนภาษาไทยตอนเด็กๆ ซึ่งล้วนแต่เห็นด้วยกับท่านที่ว่าคนไทยควรใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องและเหมาะสมไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม บางคนช่วยจดจำตัวอย่างที่มีผู้ใช้ผิดแล้วส่งมาให้อาจารย์ช่วยแก้ไข
“...ที่คนเขียนผิด พูดผิดทุกวันนี้ ดิฉันว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้เรียนการแจกลูก สะกดคำที่ถูกต้อง ซึ่งเท่ากับเป็นการผนึกเสียงของคำลงในสมอง คำไทยเป็นเสียงดนตรี เราผันได้ทุกเสียง แม้บางคำจะเขียนไม่ได้ตรงรูปก็ตาม ทุกคำมีเสียงประจำคำนั้นตลอดไป การที่มีผู้ไปศึกษาวิธีการต่างๆ จากต่างประเทศแล้วไม่ให้สอนคำที่ไม่มีความหมาย หรือสอนจำเป็นคำคำนั้น น่าจะไม่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีเรื่องจริงที่เด็กดูรูปสัตว์แล้วอ่านสะกดคำว่า ชอ - อะ - นอ - อี - ลิง และ ปอ - เอะ - ดอ - ห่าน...ในห้องเรียน หรือในโทรทัศน์มีผู้ออกเสียงคำว่า โจ๋งครึ่ม เป็น โจ๋ง -ครึ้ม เพราะเขาคงไม่รู้จักคำว่า ครึ่ม เดือนกรกฎาคม ก็มีผู้ออกเสียงเป็น กะ -ด๊ะ - กะ - ดา - คม การออกเสียงคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ ถ้าเป็นผู้ที่มีความรู้ก็น่าจะออกเสียงคำทับศัพท์ให้ใกล้เคียงกับคำเดิม เช่น ดิจิทอล ก็ควรออกเสียงให้มีสำเนียงเดิมสักนิด มิใช่มาเป็น ท่อน (แล้วอาจารย์ก็สัพยอกว่า..น่ากลัวจัง...ตามด้วยเสียง ขอความช่วยเหลือเบาๆ แบบวิงวอนว่า ช่วยด้วย!!"
เมื่ออาจารย์ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรที่โรงเรียน ท่านจะขอผู้บริหารว่า... “ภาษาไทยนี้เกี่ยวข้องกับทุกคน ดังนั้น 2 ชั่วโมงแรกขอให้ครูทุกคนเข้ามาฟัง หลังจากนั้นจึงค่อยแยกเฉพาะครูที่สอนภาษาไทย ครูทุกคนต้องร่วมมือกัน รวมถึงครูประจำชั้นด้วย คนที่จะกวดขันผู้อื่นต้องพูดและอ่านให้ถูกต้อง ในตอนต้นท่านจะพูดถึงคุณสมบัติของการเป็นครูแล้วก็แนะแนวทางเป็นครูที่ดีให้ โดยเชิญพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานเรื่องการเป็นครูว่า เป็นอาชีพหนึ่งที่เป็นแล้วเป็นเลยไปตลอดชีวิต เกษียณอายุราชการแล้วก็ยังคงเป็นครูอยู่
“ดิฉันนึกถึงนางสาวไทย ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเขาก็ยังได้ชื่อว่านางสาวไทย ไม่ต้องทำหน้าที่แล้ว แต่งงานแล้วก็ยังเป็นนางสาวอยู่ ดิฉันเองมีอาชีพเป็นครู เป็นแล้วเป็นเลย ก็ยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ตั้งอกตั้งใจทำความดีตามพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมนึกในใจว่า ภาษาไทยจะต้องสอนให้ง่าย สนุก เป็นสุขและได้ผล คือทำอย่างไรก็ได้ให้ง่ายสำหรับคนสอนและคนเรียน สนุกคือเด็กสนุกที่จะเรียนไม่ใช่เราเป็นตัวตลก คือเรียนอย่างสนุก เรียนอย่างเป็นสุข ที่สำคัญคือต้องได้ผลตามที่ควรจะได้
ดังนั้น ครูต้องเป็นครูที่รัก 3 อย่าง คือ รักเรียน รักสอน รักศิษย์ ดิฉันเชื่อเรื่องความรู้และครูที่ดีต้องรู้จัก รู้จริง รู้แจ้ง รู้จุด ครูจะต้องชอบ ต้องรัก ถ้าไม่ชอบไม่รักแล้วจะไปบอกให้ใครชอบใครรักได้ ต้องทำให้เด็กอยากรู้ อยากเรียน ภาษาไทยเป็นวิชาทักษะ ถ้าจะแปลให้ครบถ้วนคือ ต้องฝึกให้ชำนาญอันเกิดจากการฝึกฝนจนทำได้เป็นอัตโนมัติ คือทำได้โดยไม่ต้องสั่ง ไม่ต้องคิด ไม่ต้องใช้เวลาในการทำสิ่งนั้น
การฝึกก็ควรถึงขั้นใช้ได้และใช้เป็น คือรู้ที่เหมาะที่ควร ใช้เป็นถึงขั้นมีศิลปะที่จะใช้ความรู้อีกต่อหนึ่ง ต้องนึกถึงนักมวย ครูภาษาไทยมักจะลืมสอนหรือคิดว่าไม่ต้องสอนศิลปะในการใช้ภาษา ศิลปะการพูดกับอ่านนั้นคืออย่างเดียวกัน เช่น คำว่า ปดิวรัดา ถ้าอ่านแบบมีศิลปะก็ต้องอ่าน ปะ - ดิ - วะ - รัด - ดา แบบแตะเสียงนิดเดียวไม่เน้นเป็นคำๆ และขั้นสุดท้ายคือขั้นใช้ดี 2 ข้อ คือ ดีด้วยคุณลักษณะของภาษา และดีด้วยคุณธรรมและมารยาทในการใช้ภาษา ดังนั้นตลอดเวลาที่สอนครูควรกระตุ้นให้นักเรียนคิด จนสุดท้ายนักเรียนได้คำตอบด้วยตนเอง ส่วนที่มีผู้บอกว่าไม่ต้องสอนจำนั้น ความจริงการจำก็จำเป็น แต่ถ้าคิดได้จะยิ่ง ดีเพราะเด็กก็จะจำได้ถ้าเขาคิดเอง”
ทุกวันนี้ “ครูพิศศรี” ยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่ดังปณิธาน แม้จะเกษียณอายุราชการมา 16 ปีแล้วก็ตาม ท่านเขียนหนังสือชื่อ “ครบครันเรื่องวรรณยุกต์” ซึ่งพิมพ์ต่อเนื่องมาถึง 5 ครั้ง และเมื่อปี 2555 ท่านได้รับรางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น จากกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) แต่สิ่งที่ท่านดีใจ สุขใจและภูมิใจ คือ มีผู้รักภาษาไทยและร่วมธำรงค่าภาษาไทยกับท่าน



