
โลกใบนี้...ดนตรีไทย - การขับร้องเพลงไทยเดิม 2009
ต่อเนื่องจากเมื่อฉบับที่แล้ว หลังจากที่ผมได้ตอบคำถามของคุณดาวไร้เดือน ในเรื่องของกรับคู่และการขับเสภาไปแล้ว ก็ยังคงค้างคาคำถามอยู่อีก 1 เรื่อง ก็คือ...การขับร้องเพลงไทย โดยคำถามข้อนี้ของคุณดาวไร้เดือน เป็นคำถามที่ถามแบบกว้างๆ จึงอาจจะทำให้คำตอบของ
การขับร้อง...เมื่อเราสังเกตก็จะพบว่ามีคำไทย 2 คำมาผสมกัน ก็คือคำว่า “ขับ” และคำว่า “ร้อง” มารวมกันเป็น “ขับร้อง” และแน่นอน ทั้ง 2 คำ ก็ต้องมีคำแปลหรือความหมายกันอยู่ในตัวเอง และก็จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็จะไม่เหมือนกันมากนัก โดยทั้ง 2 คำ มีลักษณะเป็นกริยาที่เหมือนกันก็คือ การเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ โดยคำว่า “ขับ” จะเป็นการเปล่งเสียงออกมาเป็นทำนอง โดยยึดถือบทร้องเป็นสำคัญ และมีจังหวะไม่แน่นอน เช่นการขับเสภา ส่วนคำว่า “ร้อง” ก็คือการเปล่งเสียงออกมาเป็นทำนองโดยจะยึดถือทำนองเป็นสำคัญและจะมีจังหวะกำหนดเป็นที่แน่นอน
การขับร้อง ซึ่งเราสามารถเรียกได้อีกแบบหนึ่งว่า “คีตศิลป์” โดยคำว่า คีตศิลป์ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 คำ เหมือนกัน ก็คือ คีตะ (คี-ตะ หรือ คีต-ตะ) หมายถึง...การเปล่งเสียงออกมาเป็นเสียง เออ เอย อือ ซึ่งจัดว่าเป็นการเปล่งเสียงโดยธรรมชาติส่วนคำว่า “ศิลป” (สิน-ละ-ปะ) หมายถึงการแสดงออกทางอารมณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นและสามารถสัมผัสได้และเมื่อรวม 2 คำนี้เข้าด้วยกันแล้ว “คีตศิลป์” ก็คือ การเปล่งเสียงออกมาด้วยความประณีตจนทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์คล้อยตาม
ส่วนการ ขับร้อง กับคำว่า คีตศิลป์ ก็จะมีความแตกต่างกันไปบ้างก็คือ...การร้องเพลงที่มีความละเอียดอ่อนและสามารถทำให้ผู้ฟังมีอารมณ์คล้อยตามก็จะถือว่าเป็น “คีตศิลป์” แต่ถ้าการร้องเพลงที่ไม่ทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์คล้อยตามหรือไม่ประณีตละเอียดอ่อน ก็จะไม่ถือว่าการขับร้องนั้นเป็นคีตศิลป์ และทั้งหมดนี้ก็คือความหมายของคำว่า “ขับร้อง” หรือ “คีตศิลป์” นั่นเองแหละครับ
ส่วนโอกาสของการขับร้อง เราก็จะสามารถแบ่ง ออกเป็น 3 แบบ ก็คือ 1. การขับร้องอิสระ หมายถึง การร้องเพลงคนเดียว และสามารถร้องได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น การร้องในห้องน้ำหรือการร้องในขณะทำงานอื่นๆ 2. การร้องประกอบดนตรี หมายถึง การร้องเพลงที่มีวงดนตรีมาประกอบ โดยอาจจะร้องไปพร้อมกับวงดนตรีไทยหรืออาจจะร้องสลับกับวงดนตรีไทย 3. การร้องประกอบการแสดง หมายถึง การร้องประกอบกับการแสดงโขนหรือละคร
ถ้าจะกล่าวถึงการร้องเพลงไทยเดิมแล้ว จะมีวิธีการร้องอยู่อีกแบบหนึ่ง เปรียบเป็นเอกลักษณ์ของการขับร้องเพลงไทยเดิมก็คือ “การเอื้อน” นักร้องเพลงไทยเดิมทุกคนจะต้องร้องแบบเอื้อนได้ทุกคน เพราะว่าการขับร้องเพลงไทยเดิม จะต้องมีการร้องเอื้อนอยู่ทุกๆ เพลงนั่นเอง ส่วนคำว่าเอื้อน หมายถึง การเปล่งเสียงออกมาเป็นทำนองสูงๆ ต่ำๆ และจะออกเสียงคำว่า เออ เอย เอิง เอิงเงย ออกมาจากลำคอ ส่วน ประโยชน์ของเอื้อน ก็คือ เป็นการขยายเนื้อร้องให้พอดีกับทำนองเพลง นั่นเอง ดังนั้น เอื้อน จะถือเป็น หัวใจสำคัญของการร้องเพลงไทยเดิม หรืออาจจะกล่าวว่าเป็น เอกลักษณ์ของการร้องเพลงไทยเดิม ก็ว่าได้
การร้องเอื้อนในปัจจุบัน ต้องถือว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของการขับร้องเพลงสากล ซึ่งเราจะสามารถพบเห็นกันอยู่มากมาย เช่น การร้องประสานเสียง หรือ เพลงป๊อป และที่พบมากที่สุด ก็คือ เพลงลูกทุ่ง เหล่านี้ได้นำการร้องเอื้อนของเพลงไทยเดิมไปใช้ ดังนั้นนักร้องเพลงไทยเดิมทุกคนและนักดนตรีไทยทุกท่านควรจะภูมิใจว่า ศิลปะของเรามันไม่ได้เชยหรือโบราณเหมือนกับสมัยก่อนแล้ว
การขับร้องเพลงไทยเดิม เกิดขึ้นในสมัยใดนั้น ข้อนี้ยังไม่สามารถ ฟันธง หรือ คอนเฟิร์ม ได้ทันที เนื่องจากว่ายังไม่มีหลักฐานปรากฏไว้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ดี หลักศิลาจารึก ใน สมัยสุโขทัย นั้น มีหลักฐานกล่าวถึงการขับร้อง ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่า การขับร้องเพลงไทยเดิมอาจจะเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยเป็นอย่างน้อย และนั่นก็หมายความว่าการขับร้องเพลงไทยเดิม เกิดขึ้นมา ประมาณ 500 ปี มาแล้ว
และทั้งหมดนี้ก็คือ...การขับร้องเพลงไทยเดิม ซึ่งผมคิดว่าอาจจะทำให้ท่านผู้อ่าน เมื่ออ่านแล้วอาจจะเกิดอารมณ์คล้อยตาม ถึงกับอาจจะต้องไปหัดขับร้องเพลงไทยเดิมก็เป็นได้นะครับ และที่สำคัญ อาจจะทำให้ไม่เป็น หวัด 2009 อีกด้วย เพราะว่าการร้องเพลงไทยเดิม จะทำให้จิตใจแจ่มใส ไม่เครียดและสุขภาพจิตดี ก็เท่ากับว่านี่คือ วัคซีนป้องกันหวัด 2009 เพราะจริงๆ แล้ว ทั้งหมดผมคิดว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นั่นเองแหละครับ ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า อิ! อิ! สวัสดี
"ขุนอิน"