
ดาว์พงษ์ชี้ปลดชาญณรงค์ทำงานไม่เกิดผล
ดาว์พงษ์ชี้คสช.สั่งปลด ชาญณรงค์แจงการทำงานของสมศ.หลายปีไม่เกิดผล แถมกลับทำให้เสียโอกาสและเสียงบประมาณ
เมื่อวันที่17พ.ค.พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจมาตรา44รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 เรื่อง การปฏิบัติหน้าของผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและคุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน) เพื่อให้การพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพนอกและการประเมินผลการจัดการศึกษา จึงมีคำสั่งให้ ศ.ดร. ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผอ.สมศ.ระงับการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว ว่าสมศ.เป็นองค์กรมหาชนที่ขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี
โดยมีพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดูแล แต่มีการทำงานที่เชื่อมโยงกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ซึ่งคิดว่า คสช.คงดูความเหมาะสมการทำงานของผู้บริหารแล้ว แต่จากนี้คงได้ทำงานแบบพูดคุยกับ สมศ.มากขึ้น เพราะผู้ประเมินและผู้รับการประเมินต้องไปด้วยกันยอมรับซึ่งกันและกันโดยคำสั่งดังกล่าวคงไม่เกิดผลกระทบต่อการประเมิน เพราะได้มีการชะลอเรื่องประเมินไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับ การใช้ ม.44ให้ผอ.สมศ.หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น เพราะการทำงานที่ผ่านมามีปัญหาหรือไม่นั้น ต้องยอมรับว่าการปรับเปลี่ยน ผอ.สมศ.นั้น ศธ.เคยได้รายงานถึงปัญหาในการปฏิบัติงานของสมศ. อีกทั้งหน่วยงานที่รับการประเมินค่อนข้าง จะไม่ยอมรับการประเมินของสมศ. แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ไปคิดเอาเอง
อีกทั้งผลการประเมินทั้งคุณภาพภายในและภายนอกที่อยากเห็นคือ ผลการประเมินต้องนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้จริง แต่การทำงานของสมศ.ทำมาตั้งหลายปีก็ไม่ได้อะไรกลับทำให้เสียโอกาสและเสียงบประมาณ ขณะเดียวกันการประเมินต้องมีการพูดคุยกันกับผู้รับการประเมินด้วย เพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ออกตัวชี้วัดและให้โรงเรียนปฏิบัติทั้งนี้ ตนเห็นด้วยที่ยังต้องมีการประเมินและองค์กรการประเมินภายในและภายนอก
ด้าน ศ.ดร.ชาญณรงค์ อดีตผู้อำนวยการสมศ. ว่า ยอมรับในคำสั่ง และพร้อมปฏิบัติตาม ซึ่งเชื่อว่าผู้ใหญ่ได้ตัดสินใจดีแล้ว เพราะช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนรอบการประเมินและที่ผ่านมามีหลากหลายแนวคิด สำหรับการประเมินในรอบ4 มีการปรับเปลี่ยน มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ห่วงงานที่สมศ. เพราะมีการวางระบบที่สามารถขับเคลื่อนงานได้ ทั้งยังมีกรรมการอีก4ชุด ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถทุกคน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เสียใจหรือไม่ที่คสช.มีคำสั่งให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ ศ.ดร.ชาญณรงค์ ยิ้มแต่น้ำตาคลอเบ้า และเลี่ยงที่จะตอบคำถาม
ขณะที่ นายคมศร กล่าวว่าการทำงาน ไม่มีปัญหา สามารถดำเนินการ ได้อย่างต่อเนื่องจะยึดตามนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก ส่วนกรณีที่รัฐบาลสั่งให้ชะลอการประเมินออกไป 2 ปี เพื่อทบทวนตัวบ่งชี้ และปรับปรุงการทำงานของสมศ. นั้น ขณะนี้การจัดทำบ่งชี้ต่างๆ มีความคืบหน้าไปค่อนข้างมาก หากดำเนินการเสร็จก่อนกำหนด ก็จะเสนอให้รัฐบาลพิจารณา
“ที่ผ่านมา พอทราบบ้างว่าจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสมศ. และเคยเสนอให้มีตัวแทนจากมหาวิทยาลัยต่างๆเข้ามาช่วยการบริหารจัดการ หลังจากนี้การบริหารงานต่างๆ คงต้องดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ และจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะถ้าเรามีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ มั่นใจว่า ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี”รักษาการผู้อำนวยการสมศ.กล่าว
ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าการประเมินยังมีความสำคัญ ทั้งการประเมินภายในและประกันคุณภาพนอก แต่ต้องเป็นการประเมินที่มีมาตรฐาน ที่ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ และมีวิธีการที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละมหาวิทยาลัยด้วย ที่สำคัญเมื่อประเมินแล้วจะต้องใช้ผลที่ได้ไปใช้ในการปรับปรุง เช่น หลักสูตร การเรียนการสอน และการผลิตบัณฑิต อีกทั้งวิธีการประเมินจะต้องไม่เป็นภาระกับผู้เกี่ยวข้องมากจนกระทบงานหลัก ซึ่งวันนี้มหาวิทยาลัยใช้เวลากับการประเมิน จนกระทบงานหลัก ดังนั้นจึงควรหาวิธีการประเมินที่สร้างสรรค์ และเป็นที่ยอมรับ



