
iPhone SE น้องเล็กแต่สเปกเฉียบ
15 พ.ค. 2559
ไอทีรีวิว : iPhone SE น้องเล็กแต่สเปกเฉียบ : โดย...ไซเบอร์แบต
สมรภูมิสมาร์ทโฟนในเวลานี้ถึงจุดเดือดกันแล้ว จากการที่ค่ายแอปเปิล ส่งสมาร์ทโฟนราคาเยาว์ ลงมาเล่นในตลาดกับเขาด้วย เพียงกำเงินหมื่นกว่าบาท ก็ได้เป็นเจ้าของไอโฟนกันได้แล้ว ยิ่งค่ายมือถือ กระหน่ำจัดโปรโมชั่นลดราคากันยกใหญ่ เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้าไปอีก ยิ่งทำให้เจ้าไอโฟน เอสอี นั้นน่าสนใจยิ่งขึ้น
แม้ว่าไอโฟน เอสอี จะเป็นไอโฟน ราคาเยาว์ แต่ก็ไม่ได้มีศักดิ์ศรีด้อยไปกว่า ไอโฟนรุ่นใหญ่ อย่างไอโฟน 6 เอส เท่าไหร่ อุปกรณ์หลายตัวนั้นยกแผงมาจากไอโฟน 6 เอส กันเลยทีเดียว
ยิ่งไม่ต้องเทียบกับไอโฟส 5 ซี รุ่นที่แอปเปิล “พลาด” อย่างแรงกันไปเลย
เจ้าไอโฟน เอสอี นับได้ว่าเป็นตัว “ฆ่า” ไอโฟนรุ่นเก่าๆ ของแอปเปิล ที่ยังคงมีขายในตลาด ทั้งรุ่น 4 เอส และ5 เอส เพราะมีความเป็นไปได้อย่างมากที่ว่าแอปเปิล มุ่งพัฒนาระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่สำหรับไอโฟน โดยไม่ต้องคำนึงถึงไอโฟนรุ่นเก่าๆ ที่มีสเปกไม่สามารถรองรับระบบปฏิบัติการใหม่นี้ได้
ว่ากันถึงดีไซน์ของเจ้าไอโฟน เอสอี นั้นค่อนไปทางไอโฟนรุ่นเก่า อย่าง ไอโฟน 5 ค่อนข้างมาก เหลี่ยมมุมของตัวเครื่องค่อนข้างชัดเจน (เมื่อเทียบกับไอโฟน 6เอส พลัส) แต่จะให้ความรู้สึกที่กระชับมือในการจับถือ และให้ความแข็งแรงของตัวเครื่องค่อนข้างมาก
วัสดุที่ใช้ทำบอดี้เป็นโลหะอะลูมิเนียมขัดทราย ให้ผิวสัมผัสไม่เรียบลื่น แต่จับกระชับมือ ขอบด้านบนและด้านล่างจะมีสีขาวตัดกับสีบอดี้ส่วนกลาง ที่มีให้เลือกตั้งแต่สีเทา (Space Grey) สีเงิน สีทอง และ สีโรส โกลด์ Rose Gold
ภายในตัวของเจ้าไอโฟน เอสอี บรรจุไว้ด้วย “ของแรง” อย่าง ซีพียู Apple A9 (64 บิต) ที่เริ่มใช้งานใน iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ช่วยให้ผู้ใช้ iPhone SE สัมผัสความเร็วของ CPU ที่เพิ่มเป็นสองเท่า และ GPU ที่เพิ่มเป็นสามเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 5s ทำงานที่ความเร็ว 1.84 GHz กราฟฟิกชิพ PowerVR GT7600 พร้อมแรม 2GB ระบบปฏิบัติการ iOS 9.3 พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 1,624 มิลลิแอมป์
พร้อมกับเคลมว่าเจ้าเอสอี มีพลังในการประมวลผลสูงไม่แพ้ไอโฟน 6 เอส แต่กลับประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้มากกว่ากันถึง 2 ชั่วโมง
การประหยัดพลังงานของเจ้าไอโฟน เอสอี ส่วนหนึ่งนั้นน่าจะมาจากการใช้หน้าจอขนาดเล็กกว่าไอโฟน 6 เอส โดยหันมาใช้หน้าจอ Retina ขนาด 4 นิ้ว ที่มาพร้อมกับความละเอียดระดับ 1136x640 พิกเซล ขณะที่ไอโฟน 6 เอสพลัส รุ่นใหญ่ที่สุดนั้น มีขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 5.5 นิ้วความละเอียดระดับ 1920x1080 พิกเซล
ซึ่งในส่วนของการใช้งานจริงนั้น ผมใช้เจ้าไอโฟน เอสอี ในการตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันจริงๆ ทั้งเล่นเกม (เป็นหลัก) เช็กเมล ส่งไลน์ โทรเข้า-ออก สรุปว่าได้ระยะเวลาการใช้งานราว 6 ชั่วโมง โดยสิ้นสุดระยะเวลาการจับเวลาทดสอบเมื่อมีรูปแบตเตอรี่สีแดงขึ้นมา พร้อมกับคำเตือนว่าพลังงานในแบตเหลือน้อยกว่า 20%
ขณะเดียวกันแอปเปิล ยังยกชุดกล้องหลัง iSight มาจากไอโฟน 6 เอส พลัสที่ต้องเน้นว่าเป็น 6 เอส พลัส เนื่องจากว่าในชุดกล้องตัวนี้ มีระบบกันสั่น (OIS) มาให้ด้วย ซึ่งจะไม่มีในตัว 6 เอส
กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ประกอบด้วย Focus Pixel เทคโนโลยีที่ทำให้จับภาพได้อย่างรวดเร็ว และ หน่วยประมวลผลสัญญาณภาพที่ออกแแบบโดย Apple การลดสิ่งรวบกวนในภาพที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น การปรับโทนสีเจเนอเรชั่นที่สาม และการจับภาพใบหน้าที่ดีขึ้น สามารถเก็บภาพช่วงเวลาเป็นภาพเคลื่อนไหว และฉายซ้ำช่วงเวลาที่น่าจดจำพร้อมเสียง Live Photos เป็นภาพความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่เพียงแค่แตะ ก็จะแสดงภาพก่อนและหลังการถ่าย ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถเพลิดเพลินกับความทรงจำมีชีวิตแทนที่จะเป็นเพียงภาพนิ่งในกาลเวลา
ซึ่งต้องยอมรับเลยว่ากล้องของไอโฟน เอสอี สามารถเก็บภาพได้ดีจริงๆ แม้ในที่มืดก็มีแฟลช Retina ที่ให้สีเป็นธรรมชาติ (True Tone) และแม้จะไม่ใช้แฟลช รูปภาพที่ถ่ายในความมืด อย่างในตัวอย่างที่นำมาให้ชมในคอลัมน์นี้ ก็มีการเก็บรายละเอียดส่วนต่าง และ ส่วนมืด ได้ชัดเจน
นอกจากนั้นกล้องหลังขนาด 12 ล้านพิกเซล ยังถ่ายวิดีโอได้ในระดับ 4K และบันทึกวิดีโอได้สูงถึง 60fps สำหรับวิดีโอ 1080p และ 240sfp สำหรับ slo-mo, time-lapse
ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล (ไอโฟน 6 เอสพลัส ใช้กล้องหน้าขนาด 5 ล้านพิกเซล) กับแฟลช Retina ที่ใช้หน้าจอให้ความสว่างระหว่างการถ่ายภาพ ให้ความคมดชัดได้ดี ในระดับหนึ่ง แต่ความเป็นธรรมชาติของผิวเนื้อนั้น ชัดเจนดี เห็นได้ชัดเมื่อถ่ายเซลฟี่ครับ
จุดเด่นที่สำคัญอีกประการคือ ความฉลาดของ Siri หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่มาพร้อมกับ ระบบปฏิบัติการ iOS 9.3 ในเจ้า ไอโฟน เอสอี ที่แอปเปิลเพิ่มฟีเจอร์คำสั่ง “Hey Siri” เข้ามา ทำให้ไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่ม Home สองครั้งเช่นเดิม ทำให้การสั่งการค้นหาข้อมูล เปิดแอพพลิเคชั่นต่างๆ เป็นไปได้สะดวก
ทั้งยังเชื่อมต่อกับแอปเปิล วอทช์ ได้อย่างไม่สะดุด แต่ต้องแลกมากับระยะเวลาการใช้งานที่สั้นลงเล็กน้อย เนื่องจากต้องเปิดระบบบลูทูธอยู่ตลอดเวลา
ส่วนเรื่องความปลอดภัยในการใช้งานนั้น แอปเปิล เพิ่มระบบสแกนลายนิ้วมือเข้ามาที่ปุ่ม Home เช่นกัน ที่ทำงานได้ดี แม่นยำ แม้จะช้ากว่าไอโฟน 6 เอสพลัส อยู่เล็กน้อยพอจับผิดได้ แต่ก็ไม่ทำให้หงุดหงิด
เจ้าตัวเล็กนี้ ยังรองรับเครือข่าย 3G และ 4G ทุกคลื่นในประเทศไทย (ไม่รองรับ 4G LTE Advanced) และฟีเจอร์ VoLTE (Voice over LTE) GPS/GLONASS ด้านไวไฟ รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac
ในภาพรวมแล้ว ไอโฟน เอสอี ก็คือ ไอโฟนดีๆ ตัวหนึ่ง ที่มีราคาเป็นมิตรต่อกระเป๋าเงินมากกว่าซีรีส์ใหญ่ๆ แต่มีฟังก์ชั่นการใช้งานในระดับใกล้เคียงกัน ทั้งยังรองรับระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ที่จะออกมาในอนาคตอีกด้วย
และด้วยราคาเริ่มต้นที่ 16,800 สำหรับรุ่น 16 GB และ 20,800 บาท สำหรับรุ่น 64 GB ทำให้คู่แข่งในตลาดฝั่งแอนดรอยด์ ทั้ง Huawei P8 และ P9 (ที่กำลังจะเข้ามาทำตลาด) Samsung ซีรีส์ A และ J ViVo Max และรุ่นอื่นๆ ในระดับราคาใกล้เคียงกัน หนาวๆ ร้อนๆ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
----------------
(ไอทีรีวิว : iPhone SE น้องเล็กแต่สเปกเฉียบ : โดย...ไซเบอร์แบต)