
ชาวบ้านรอวัดใจต่อสัญญาเหมืองทอง
ชาวบ้านรอวัดใจต่อสัญญาเหมืองทอง : สายันต์ ชูฉ่ำรายงาน
กรณีคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย อรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.วิจารย์ สิมาฉายา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และ ชาติ หงส์เทียมจันทร์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ลงพื้นที่ 3 จุดใหญ่ เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบกิจการเหมืองทอง ที่ ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร และรับฟังข้อมูลจากส่วนงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องมาจากปมการต่ออายุสัมปทานการทำเหมืองแร่ ท่ามกลางเสียงสะท้อนจากชาวบ้านในพื้นที่ถึงปัญหามลภาวะและผลกระทบด้านสุขภาพของคนในชุมชน
การลงพื้นที่ครั้งนั้น มีทั้งกลุ่มผู้สนับสนุนและกลุ่มคัดค้าน ได้นำกำลังคนของแต่ละฝ่ายมาโชว์พลังกันอย่างเต็มที่ โดยฝ่ายกลุ่มค้าน คือกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งรวมตัวกันจากชาวบ้านใน 3 จังหวัดรอยต่อที่เหมืองแร่ทองคำกำลังจะขยายพื้นที่สัมปทานเข้าไปถึง นั่นคือ พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก โดยการรวมตัวแสดงพลังของกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบ พบว่ามีกลุ่มใหม่ที่เดินเข้ามาเป็นแนวร่วม และดูเหมือนว่าจะเป็นห่วงต่อผลกระทบภาพรวมในด้านเศรษฐกิจทางการเกษตรด้วย คือกลุ่มผู้ผลิตมะม่วงเพื่อการส่งออก ซึ่งมีพื้นที่ปลูกอยู่หลายพันไร่ในพิจิตรและพิษณุโลก ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่สัมปทานเหมืองแร่ และเกรงว่ามะม่วงอาจจะมีสารปนเปื้อนได้
ขณะเดียวกัน กลุ่มสนับสนุนที่ระบุตัวตนว่าเป็นชาวบ้านโดยรอบพื้นที่เหมืองทองเช่นกัน ก็รวมตัวกันได้ไม่น้อยกว่ากลุ่มคัดค้าน โดยกลุ่มสนับสนุนส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัวพนักงานที่ทำงานในเหมืองแร่ทองคำ และมีชาวบ้านบางส่วนที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในกลุ่มคัดค้านแต่ปัจจุบันกลับสามารถอยู่ร่วมได้กับเหมืองทองคำ
จากข้อมูลของประชาชนทั้งสองฝ่าย ผลกระทบของการประกอบกิจการเหมืองทองคำที่ส่งผลต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ และประชาชนที่อาศัยรอบเหมืองทองคำ ในเขตรอยต่อ 3 จังหวัด คือ พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ได้ขอให้รัฐบาลระงับการต่อสัญญาโรงประกอบโลหกรรมของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่กำลังจะหมดอายุในวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 ไว้ก่อน
“ธัญญารัศมิ์ สินทรธรรมทัช” สาวแกนนำชาวบ้านเขาหม้อ ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร กล่าวถึงสัญญาโรงประกอบโลหกรรมที่กำลังจะหมดอายุนั้น ทางเอกชนพยายามนำเอาบริษัทชาวต่างชาติที่มีความเชื่อถือเข้ามาทำการวิจัยและออกใบรับรองการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำที่ไม่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน เพื่อนำไปสู่การต่อสัญญาของกิจการเหมืองทองคำ
แกนนำชาวบ้านผู้นี้ กล่าวตั้งข้อสังเกตว่า ขั้นตอนระหว่างการต่อสัญญามีความไม่ชอบมาพากลของคณะทำงานของภาครัฐกับเจ้าหน้าที่รัฐที่สอดคล้องเอื้อไปทางผู้ประกอบกิจการ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน
“ยิ่งใกล้ถึงเวลาต่อใบอนุญาต ยิ่งทำให้ประชาชนที่อยู่รอบๆ ในพื้นที่กังวล โดยเฉพาะด้านสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างมาก หากรัฐบาลอนุมัติให้ต่อใบอนุญาตสัมปทานเหมืองต่อไปอีก ทางชาวบ้านจะรวบรวมข้อมูล พยานหลักฐาน ฟ้องร้องตามกฎหมายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการออกใบอนุญาต แต่หากไม่ต่อใบอนุญาตทางชาวบ้านก็จะหยุดฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”
“ธัญญารัศมิ์” กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เราจะเรียกร้องให้ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่เสียหายจากการดำเนินกิจการ พร้อมทั้งให้เยียวยาชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ โดยทั้ง 2 ข้อดังกล่าว ต้องให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมดำเนินการและร่วมแก้ไขเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ทั้งหมดที่เสียหายไปด้วย
“ทองใบ หล่อทรัพย์” หญิงสูงวัยอายุ 60 ปี ชาวบ้านเขาดิน ต.เขาเจ็ดลูก กล่าวถึงปัญหาสุขภาพว่า ป่วยมากว่า 2 ปีแล้วด้วยอาการปวดตามร่างกาย ซึ่งทางการแพทย์ยังไม่ระบุว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่คาดว่าจะเกิดจากสาเหตุการทำเหมือง ซึ่งมีชาวบ้านอีกหลายคนที่มีอาการป่วยเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กที่ตรวจพบสารโลหะหนักในร่างกายจำนวนมาก ยิ่งหากรัฐบาลต่อสัญญาให้เอกชนจะยิ่งทำให้ปัญหาด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นหรือไม่
“ฉันและชาวบ้านอีกหลายคนยังกังวล เพราะอยู่ระหว่างต่อสัญญา หากมีการอนุมัติ ถามว่าจะทำให้เกิดผลกระทบกับประชาชนที่อยู่โดยรอบยิ่งขึ้นอีกหรือไม่ จากเดิมที่เป็นอยู่ และอยากขอให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนให้มาก" ทองใบ กล่าว
ด้าน “ธงชัย ธีระชาติดำรงค์” ชาวบ้าน ต.เขาเจ็ดลูก ให้มุมมองในอีกด้านว่า ที่ผ่านมาเคยร่วมกับชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งคัดค้านการทำเหมือง แต่ต่อมาได้ศึกษาและดูการดำเนินงานของเหมืองทองแล้วพบว่าสามารถอยู่กับเหมืองทองได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด แต่กลับดีกว่าช่วงที่ไม่มีเหมืองทองเสียอีก
“อย่างเช่น ขณะนี้เป็นช่วงที่ประสบภัยแล้ง ถ้าเป็นช่วงปกติ ชาวบ้านจะเดือดร้อนต้องไปเข็นน้ำจากสระที่วัดมาใช้ แต่มีเหมืองทองก็นำน้ำสะอาดมาแจกจ่ายให้ชาวบ้านอย่างอุดมสมบูรณ์ ส่วนถนนหนทาง ก็มีการปรับปรุงและการทำมาหากิน ทางเหมืองก็ช่วยเหลือชาวบ้านมาโดยตลอด หากเหมืองไม่ได้รับการต่อใบอนุญาต ชาวบ้านส่วนใหญ่จะได้รับความเดือดร้อน คนในครอบครัวต้องตกงาน ความลำบากด้านระบบสาธารณูปโภคก็จะเข้ามาเยือนชาวบ้านอีกครั้ง เหมือนเมื่อตอนไม่มีเหมืองทอง และชาวบ้านคงจะต้องแสดงออก เพื่อต้องการให้มีเหมืองต่อไป” ธงชัย กล่าว
ขณะที่ “เชิดศักดิ์ อรรถอารุณ” ผู้จัดการฝ่ายประสานงานกิจการภายนอก บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่คณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส ทางบริษัทได้ส่งเอกสารไปยังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยละเอียดทุกประการ
“ส่วนที่ว่าจะได้รับการพิจารณาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจและผู้ที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่าการทำเหมืองแร่ทองคำได้มาตรฐานสากล และยืนยันว่าบ่อเก็บกักกากแร่ ที่มีการร้องเรียนว่ามีการรั่วไหลนั้น เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเรามีการตรวจสอบทุก 3 เดือน ส่วนข้อกังวลที่เกิดขึ้นถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่ยอมรับฟังข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แต่คนหลายพันที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบเหมืองแร่ทองคำสามารถอาศัยร่วมกันได้อย่างดี ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถเชิญชวนประชาชนให้สนับสนุนบริษัทได้ หากไม่ได้รับการต่ออายุใบอนุญาตจริง บริษัทก็ต้องยุติการดำเนินงานทั้งหมด” ผู้จัดการฝ่ายประสานงานฯ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในด้านผลของการตรวจสารโลหะหนักในร่างกาย โดยล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2559 ดร.สมิธ ตุงคะสมิต ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต ได้เปิดเผยผลการตรวจวิเคราะห์โดยโรงพยาบาลรามาธิบดี และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งดำเนินการตรวจระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2558 ตรวจเลือดประชากรจำนวน 1,004 ราย มีสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน 669 คน มีแมงกานีสเกินมาตรฐาน 420 คน สารหนู 196 คน ไซยาไนด์ 59 คน ซึ่งในที่นี้พบว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มีปริมาณโลหะหนักในร่างกายเกินมาตรฐาน จำนวน 222 คน จากเด็กทั้งหมดที่รับการตรวจ 297 คน ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงพอสมควร
สำหรับ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าของและผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำ ที่มีปริมาณสินแร่และปริมาณการผลิตทองคำมากที่สุดในประเทศไทย ภายใต้โครงการเหมืองแร่ชาตรีคอมเพล็กซ์ ตั้งอยู่ในเขต จ.พิจิตร และ จ.เพชรบูรณ์ เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 โรงงานมีกำลังการผลิตติดตั้งแรกเริ่มที่ 1 ล้านตันต่อปี และต่อมาได้เพิ่มเป็น 2.3 ล้านตันต่อปี ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2555 ได้เพิ่มกำลังการผลิตของโครงการเหมืองแร่ชาตรีคอมเพล็กซ์เป็น 5 ล้านตันต่อปี โดยการก่อสร้างโรงประกอบโลหกรรมแห่งใหม่ และปัจจุบันโรงประกอบโลหกรรมชาตรี มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 6.2 ล้านตันต่อปี



