
รื้อ!ระบบการแพทย์ฉุกเฉินเข้าถึงคนไข้ภายใน10นาที
รื้อ!ระบบการแพทย์ฉุกเฉินเข้าถึงคนไข้ภายใน10นาที : ทีมข่าวสาธารณสุขรายงาน
กลายเป็นสิ่งที่สะท้อนวงการระบบการแพทย์ฉุกเฉิน เมื่อมีการนำกรณีการเสียชีวิตของนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาและอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย มาเชื่อมโยงเข้ากับระบบการรับตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลล่าช้า กระทั่ง นายนิกร จำนง สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เสนอให้มีการปฏิรูประบบการแพทย์ฉุกเฉิน
ส่งผลให้ นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ต้องเรียกประชุมด่วนเพื่อพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) นพ.พรเทพ แซ่เฮ้ง หัวหน้ากลุ่มงานปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร (กทม.) นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ นพ.อนุรักษ์ อมรเพชรสถาพร ผู้อำนวยการสำนักสาธารณสุขฉุกเฉิน (สธฉ.) และ รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี และผู้แทนจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น
นพ.โสภณ กล่าวว่า ที่ประชุมมีการหารือและเห็นพ้องกัน 4 ข้อ คือ 1. พัฒนาให้ระบบที่มีอยู่แล้วทำงานให้ระบบพัฒนามากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันสายด่วนฉุกเฉินมีอยู่ 2 หมายเลข คือ สายด่วน สพฉ.1669 และสายด่วนของศูนย์เอราวัณ 1646 โดยหากโทรไปหมายเลขใดก็จะมีการเชื่อมข้อมูลผ่านศูนย์สั่งการได้อย่างรวดเร็ว 2.พัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้รวดเร็วยิ่งขึ้นโดยจะต้องไปถึงผู้ป่วยเวลาเฉลี่ย 10 นาที ซึ่งกำลังพิจารณาว่าจะใช้เทคโนโลยีอะไรในการอำนวยความสะดวกตรงนี้ อาทิ เมื่อญาติผู้ป่วยโทรมาจะต้องทราบว่าพิกัดของผู้ป่วยอยู่ที่ไหน เช่น การใช้แอพพลิเคชั่นในการบอกจุดเกิดเหตุ เป็นต้น
3.ตั้งคณะกรรมการดูแลมาตรฐานระบบการแพทย์ฉุกเฉิน โดยมี พญ.ประนอม คำเที่ยง รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดูแล และนางวันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร และผู้แทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาร่วมทำงานพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และ 4.พัฒนาระบบส่งต่อในพื้นที่ 9 โซนนิ่งใน กทม. ได้แก่ 1.รพ.ตำรวจ 2.รพ.เลิดสิน 3.รพ.ราชวิถี 4.รพ.นพรัตนราชธานี 5.รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ 6.รพ.ภูมิพล 7.รพ.กลาง 8.วชิรพยาบาล และ 9.รพ.ตากสิน ต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการรับผู้ป่วยฉุกเฉินออกมาจากโรงพยาบาลเอกชนหลังเข้ารับการรักษาครบ 72 ชั่วโมงตามหลักเกณฑ์การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน
“ที่สำคัญจะต้องอบรมเทคนิคการซักอาการผู้ป่วยจากผู้ที่โทรเข้ามาแจ้งเหตุให้แล้วเสร็จภายใน 1 นาที เช่น ผู้ป่วยอยู่ตรงไหน หลังจากนั้น รอปล่อยรถฉุกเฉินออกไปรับอีก 1 นาที ถึงพื้นที่เกิดเหตุภายใน 8 นาที โดยรวมแล้วจะต้องเข้าพื้นที่เพื่อรับผู้ป่วยไม่เกิน 10 นาที แต่ปัจจุบันมีปัญหาไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ทันเพราะการจราจรติดขัด จึงต้องมีการแก้ปัญหาตรงนี้ด้วย” นพ.โสภณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประชาชนพึงตระหนัก นพ.โสภณบอกว่า เมื่อเกิดการเจ็บป่วยฉุกเฉินควรโทรเข้าสายด่วน 1669 แทนการโทรเข้าโรงพยาบาลโดยตรงจะทำให้ลดขั้นตอนการประสานงานและรถฉุกเฉินจะเข้ารับคนไข้ได้รวดเร็วกว่า โดยจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่า เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินต้องโทรไปที่สายด่วน 1669 หรือสายด่วน 1646 เพราะเป็นศูนย์สั่งการกลางในการประสานไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดในการรับผู้ป่วย และต้องมีการพัฒนาระบบที่ให้โรงพยาบาลที่รับสายแรกสามารถซักประวัติเบื้องต้น สถานที่เกิดเหตุและประสานไปยังศูนย์สั่งการ คือ 1669 หรือ 1646 ได้ทันที โดยคณะกรรมการร่วมระหว่าง สธ.และกทม.จะมีการหารือและร่วมกันแก้ปัญหาต่อไป
ขณะที่ นพ.พรเทพ แซ่เฮ้ง หัวหน้ากลุ่มงานปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน กทม. กล่าวว่า ระบบการแพทย์ฉุกเฉินทั่วประเทศจะเป็นสายด่วน 1669 แต่หากโทรในพื้นที่ กทม. แม้จะโทร.1669 ก็จะติดไปยังศูนย์เอราวัณ 1646 โดยอัตโนมัติ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการซักประวัติเบื้องต้น เพื่อให้ทราบพิกัด และอาการของผู้ป่วยไม่เกิน 1 นาที จากนั้นจะประเมินอาการ หากเป็นอาการขั้นพื้นฐานจะส่งทีมกู้ชีพจากมูลนิธิต่างๆ เข้าไปรับ หากอาการรุนแรงมากขึ้นก็จะเป็นทีมของโรงพยาบาลไปรับผู้ป่วยทันที
“หลังจากรถฉุกเฉินออกไปแล้ว จะมีการประสานไปยังผู้ป่วย เพื่อสอบถามเส้นทางให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าโทรซ้ำหลายครั้งแล้วรถไม่ได้ออกเหมือนที่เข้าใจคลาดเคลื่อนกัน ซึ่งตรงนี้เป็นมาตรฐานสากลในการปฏิบัติอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับทราบพิกัดของผู้ป่วย แต่ยังไม่สำเร็จ ส่วนความล่าช้าของจราจรนั้น เบื้องต้นมีการเพิ่มจุดรถฉุกเฉินอยู่นอกโรงพยาบาลตามพื้นที่ต่างๆ อยู่แล้ว และขณะเดียวกันก็ยังรณรงค์ให้ประชาชนช่วยหลบทางให้รถฉุกเฉิน" นพ.พรเทพกล่าว