
'ดาว์พงษ์'ย้ำต้องช่วยเด็กหลุดนอกระบบการศึกษา
'ดาว์พงษ์'ระบุใช้ออกกลางคันตัวชี้วัดประเมินทำงานไม่ใช่ผลักภาระ ชี้ต้องการให้มีข้อมูลชัดเจนเพื่อวางแผนแก้ปัญหาตรงจุด
เมื่อวันที่ 3 พ.ค. พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ศธ.เร่งแก้ไขปัญหาเด็กหลุดนอกระบบการศึกษา หรือ ออกกลางคัน เพื่อหาทางช้อนเด็กกลับสู่ระบบการศึกษาให้มากที่สุด ซึ่งได้มอบให้องค์กรหลักที่มีสถานศึกษาในสังกัดไปสำรวจข้อมูลตัวเลขเด็กออกกลางคันภายในเปิดภาคเรียน 1 ปีการศึกษา 2559 ขณะเดียวกันมีแนวคิดใช้เรื่องนี้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการประเมินผลการดำเนินงานตั้งแต่เลขาธิการองค์กรหลัก ผู้บริหารสำนักงานพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา และครูตามลำดับนั้น ว่า ขณะนี้เริ่มมีเสียงต่อว่าตนว่าเมื่อคิดนโยบายอะไรก็ผลักภาระลงไปที่ครู เช่นกรณีที่ให้การแก้ปัญหาเด็กออกกลางคันเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการทำงาน ซึ่งไม่ใช่การผลักภาระ ในความหมายของตนคือ หากครูมีข้อมูลชัดเจน ครบถ้วน รู้ว่าลูกศิษย์ตนเองในแต่ละระดับอยู่ที่ใด หายไปจากระบบเมื่อใด และเมื่อรู้ว่ามีเด็กหายไปมีการไปติดตามแล้วปรากฎว่าเด็กและผู้ปกครองปฏิเสธที่จะกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ตรงนี้ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว เช่นเดียวกันผู้บริหารระดับต่างๆ ก็ต้องมีข้อมูลเหล่านี้ครบถ้วน
“นโยบายของผมอยากให้มีการจัดทำข้อมูลเด็กที่ออกนอกระบบการศึกษาที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ผู้อำนวยการสพท. ต้องรู้ว่าเด็กในพื้นที่ของตัวเองหายไปไหน เท่าไร มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหา ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ส่วนระดับนโยบายก็จะดูการแก้ปัญหาในภาพรวม เรื่องนี้ผมให้ความสำคัญ และจากการที่ผมไปประชุม องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือซีมีโอ ที่ประเทศอินโดนีเซียมาล่าสุด พบว่าทุกประเทศให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเด็กที่หลุดออกนอกระบบการศึกษา องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ก็ให้ความสำคัญ ประเทศไทยเองก็ให้ความสำคัญมาโดยตลอด แต่นายกฯ คนปัจจุบันให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ จึงมอบโจทย์ให้ผมลงมาดู ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าตัวเลขการออกนอกระบบที่แท้จริง จะสามารถติดตามได้หรือไม่ เพราะเรายังมีปัญหาเรื่องฐานข้อมูล ถ้าได้ฐานข้อมูลที่ชัดเจน จะสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ”พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าว
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า กรณีที่ได้มอบหมายให้ รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัด ศธ. ไปศึกษารายละเอียดในการจัดทำคูปองการศึกษา เพื่อให้เด็กถือและนำไปเลือกเข้าเรียนในสถานศึกษาที่ต้องการเรียนได้เอง นั้น เรื่องนี้มีการศึกษามาก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ แต่ขอดูปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ทั้งข้อดี ข้อเสียก่อน จึงจะตัดสินใจว่าจะเดินหน้า หรือทำอะไรเชิงนโยบายได้ ส่วนจะใช้เมื่อไรนั้น ยังตอบไม่ได้ ขอฟังรายละเอียดก่อน ที่ผ่านมาเป็นเพียงการหารือ รูปแบบการดำเนินการในเบื้องต้น ว่า เป็นการแจกคูปองให้นักเรียนไปใช้เลือกเรียนโรงเรียนที่ต้องการ จะทำให้การจัดสรรงบประมาณไม่ซ้ำซ้อน เพราะจ่ายตามคูปอง จะไม่มีการมาเพิ่มยอดเด็กผี ส่วนจะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนใดนั้น ยังไม่ทราบรายละเอียด



