
ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม
ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา
ในที่สุดการสิ้นสุดทุกขเวทนาทางสังขารร่างกายของ อ.กำพล ทองบุญนุ่ม ก็สิ้นสุดลงอย่างที่ท่านมิได้อนาทร หรืออาลัยกับมันเลย เป็นที่ทราบกันดี ท่านพิการเดินไม่ได้มาเป็นเวลาถึง ๓๗ ปี จวบถึงวันสุดท้าย ชาวพุทธใจสิงห์อย่างท่าน ได้นำทุกขเวทนาเหล่านั้นมาพัฒนาจิตตน รักษาศีล ภาวนา จนถึงขั้นที่พระอริยเจ้าต้องสรรเสริญ กลายเป็นที่พึ่ง เป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นได้เป็นจำนวนมหาศาลจริงๆ
เมื่อราวเดือนเมษายน ๒๕๒๒ ชีวิตของครูพละหนุ่ม กำพล ทองบุญนุ่ม จากนครสวรรค์ ต้องพลิกผันอย่างสิ้นเชิง หลังการกระโดดพุ่งหลาวลงสระน้ำในวิทยาลัยพลศึกษา จ.อ่างทอง แล้วเกิดพลาดท่าศีรษะกระแทกกับพื้นก้นสระ อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้กระดูกต้นคอข้อที่ ๕ ของเขาหักไปถูกประสาทสันหลังเกิดอาการชาทั้งตัวและกลายเป็นอัมพาต ซึ่งแพทย์บอกว่าเขาไม่มีทางหายเป็นปกติได้อีกเหมือนเดิม ต้องพิการไปตลอดชีวิต แต่อาจารย์กำพล กลับใช้สังขารร่างกายของตนเป็น “อุปกรณ์ของพระธรรม” ด้วยร่างกายอันพิการ ใช้งานได้เพียง ๒๐% ของคนปกติทั่วไป แต่ท่านกลับประยุกต์ใช้มันได้เต็ม ๑๐๐% เพื่อการแสดงธรรม ...
แล้วพวกเราเองล่ะ ร่างกายเต็ม ๑๐๐% เอาไปรับใช้ธรรมะเพื่อตนเองหรือผู้อื่นสักกี่เปอร์เซ็นต์
ไม่เพียง “จิต” ของท่านจะพัฒนาสูงขึ้นๆ โดยลำดับ จากครูบาอาจารย์หลายท่านที่วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ
"เริ่มต้นจากที่ท่านเขียนจดหมายไปหาหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ แล้ว หลวงพ่อก็เมตตาชี้แนะผ่านมาทางจดหมาย อาจารย์กำพลก็น้อมนำคำสอนจากหลวงพ่อมาปฏิบัติ จนพาตัวเองออกจากความทุกข์ได้
"จนกระทั่งผ่านไปสองปี หลวงพ่อมอบหมายให้พระที่วัด เดินทางมาหาอาจารย์กำพล ที่บ้านใน จ.นครสวรรค์ พร้อมกับให้ถ่ายวิดีโอสัมภาษณ์อาจารย์กำพล กลับไปให้ท่านชม หลังจากนั้นท่านจึงให้พระที่สุคะโต เดินทางมาหาอาจารย์กำพลอีกครั้ง พร้อมให้ชวนไปอยู่ด้วยกันที่วัดป่าสุคะโต
“นี่เป็นการเดินทางไกลออกจากบ้านครั้งแรกหลังจากชีวิตต้องพบกับความพิการ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นี่คือการเดินทางที่พาอาจารย์กำพลไปพบหลวงพ่อคำเขียนที่ท่านนับถือ และไปใช้ชีวิตท่ามกลางกัลยาณมิตรที่วัดป่าสุคะโต”
(จากรายการในยูทูบของวัดป่าสุคะโต สถาบันสติปัฏฐาน เล่าโดยอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม)
จากนั้นการปฏิบัติเจริญสติโดยการเคลื่อนไหวนิ้วที่เป็นสิ่งเดียวของร่างกายที่พอจะเคลื่อนไหวได้ ตามแนวทางที่หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อคำเขียนค้นพบ ก็นำไปสู่การเจริญสติปัฏฐานอย่างต่อเนื่อง จนพลิกจิตที่ส่งออกนอกไปกับการทุกข์กาย กลับมาอยู่กับความรู้สึกตัวในการเคลื่อนไหวนิ้วอย่างมีสติ จนจิตเป็นอิสระในที่สุด หมดทุกข์ก่อนตาย
อานิสงส์จากจิตที่เป็นอิสระจากกาย กลับกลายเป็นธรรมโอสถอันวิเศษที่มาช่วยฟื้นฟูร่างกายของท่านให้ดีวันดีคืน จากที่ขยับได้แค่มือขวา ทำให้สามารถยกมือซ้ายได้อีกด้วย พระอาจารย์หลายท่านที่วัดป่าสุคะโต ให้ความเห็นว่า ธรรมดาคนพิการเป็นอัมพาตทั่วไปมีแต่ร่ายกายจะเสื่อมถอยลง แต่ของอาจารย์กำพลกลับดีขึ้น สีหน้าสีตา สดใสขึ้น น้ำเสียงแจ่มใส แววตามุ่งมั่นและเปี่ยมเมตตา นั่นแหละเป็นลักษณะของคนที่เริ่มมีภูมิธรรมสูงขึ้น
ครั้นเมื่อจิตท่านเข้าถึงธรรมแล้ว ... บางครั้งท่านปรารภธรรมกับพระอาจารย์บางรูป ท่านพูดเป็นปริศนาธรรมอย่างหน้าตาเฉยว่า ...
พระอาจารย์ครับ ... ชีวิตผม เป็นชีวิตที่ไม่มีอนาคตแล้วครับ
มนุษย์ขี้เหม็นทั่วไปหากได้ฟังประโยคนี้แล้วก็คงคิดว่าคนที่พูดเช่นนี้เป็นคนหมดอาลัยตายอยากแล้ว ไม่สู้ชีวิตเอาเสียเลย ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย แต่สำหรับพระผู้มีปัญญากลับทราบด้วยจิตว่า คนคนนี้แหละน่าคบเป็นกัลยาณมิตรอย่างยิ่ง ชีวิตที่ไร้อนาคต ในทางธรรมนั้น หมายถึงดวงจิตที่เป็นอยู่กับแต่ปัจจุบัน ไม่อาลัยต่ออดีต และที่สำคัญไม่ฟุ้งซ่าน ปล่อยสังขารปรุงแต่งไปถึงอนาคต ที่ไม่เคยมาถึง (Tomorrow never come) ให้เป็นทุกข์เปล่าๆ ต่างหากล่ะ
ดังที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์ว่า ...
“ผมเดินไม่ได้ก็ยังเดินไม่ได้เหมือนเดิม แต่ใจผมจะไปไหนก็ได้ ถึงบอกว่าผมเดินด้วยใจ แต่เวลาไปไหนไปด้วยล้อเลื่อน มันแยกกันทำงาน เมื่อใจดีแล้วถึงโลกจะเลวร้ายเราก็สามารถมองให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองได้ เหมือนปุ๋ยมันเกิดจากอะไร เกิดจากของเหม็นเน่า คนไม่ชอบ แต่สิ่งที่เหม็นเน่าหมักหมมมันเป็นก็เป็นปุ๋ยได้ ถ้ารู้จักมอง เหมือนกันความพิการก็ใช่ว่าจะไม่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่พิการแล้วเราจะมาสนใจธรรมทำไม”
นั่นแสดงว่า ... ท่านเห็นแจ้งชัดในการแยกรูปและนาม กายและใจ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แล้วท่านรู้จักมองมุมบวก (Positive thinking) สามารถแปลงความพิการของท่าน มาเป็นแรงขับดันให้สนใจธรรมะ ตามสำนวนที่ท่านพุทธทาสว่าไว้ ... หาสุขได้จากทุกข์
เมื่อท่านสนใจธรรมะแล้ว ท่านก็เข้าถึงการลงมือปฏิบัติด้วยจิตของท่านเอง หลังจากเสียเวลาไปสิบกว่าปี ศึกษาธรรมด้วยวิธีคิดอย่างเดียว จากบางส่วนที่ท่านเล่าไว้ ...
“คิดอย่างเดียวไม่ได้ … ถ้าคิดอย่างเดียว ๑๖ ปีแรกที่ผมศึกษาเรื่องนี้ก็คงบรรลุธรรมไปนานแล้ว คือที่ผ่านมาความคิดของเรามันไม่ถูกต้องไง เราไปเชื่อว่าคนพิการนั้นปฏิบัติไม่ได้ เราไม่ได้ไปบวช ไปอยู่วัดเหมือนกระแสเขา เราอยู่บ้าน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แล้วเราจะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร
แต่เมื่อถึงเวลาที่ทุกข์จนพอเพียง มันคิดได้ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้ปฏิบัติทางกายอย่างเดียว ใจต่างหากที่สำคัญ เอาล่ะเมื่อเราไปวัดไม่ได้ เราก็ทำในสภาพพิการเช่นนี้แหละ ยอมรับตามอัตภาพของเรา ไม่ต้องเหมือนกัน พอเราคิดแบบนี้เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ เพราะเราเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายที่เป็นธรรม มันเป็นบุญกุศลทั้งนั้น เหมือนยาที่มันขมดูแล้วไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ ...”
ใครที่เคยได้สัมผัส เสวนาธรรม ปรนนิบัติชิดใกล้ท่าน จะไม่รู้สึกว่าท่านเป็นคนพิการแต่อย่างใด ใจของคนที่คิดจะทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น จิตของผู้ที่ปฏิบัติธรรม แม้ร่างกายไม่อำนวยนั้น หล่อเลี้ยงท่านจนกลายเป็นหนึ่งในอาจารย์สอนกรรมฐานชีวิต สละกายตนเป็นอุปกรณ์สอนธรรมะ แสดงผลแห่งทุกขเวทนาทางกายนั้น ไม่อาจล้ำเส้นไปถึงจิตใจได้ ทำให้ผมหวนนึกถึง รูปทิเบตแสดงวงปฏิจจสมุปบาทที่สวนโมกข์ รูปที่แสดงอาการ เวทนา มีชายถูกศรปักลูกตาถึง ๒ ข้าง หมายถึงคนธรรมดาๆ ทั่วไป เมื่อร่างกายเจ็บป่วย พิการ อาการจะเหมือนถูกศรปักทั้งสองข้าง แต่ผู้รู้ธรรมเห็นธรรมแล้วจะเพียงแค่ถูกปักด้วยศรข้างเดียว (คือกระทบแต่กาย หาได้กระทบจิตไม่)
จิตของอาจารย์กำพลจึงตื่นรู้และเบิกบานเสมอ ตราบจนวาระสุดท้าย ผู้เขียนจึงขอแสดงมุทิตาจิตต่อธรรมะที่ท่านอาจารย์กำพลได้แสดงให้เห็นประจักษ์ ตลอดระยะเวลาที่ท่านอยู่บนโลกนี้ครับ
... คำพูดช่วงท้ายๆ ก่อนท่านจะสิ้นลม เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๐.๔๖ น. ที่ชมรมเพื่อนคุณธรรม ที่ผ่านมา
การบรรลุธรรมเป็นเพียงคำพูด “การสิ้นทุกข์” ถือเป็นของจริง
กายย่อมเสื่อม กายไป ใช่ของแปลก
จิตกลับแยก ส่วนกัน อัศจรรย์เหลือ
ทุกขเวทนา สำแดงชัด ไม่คลุมเครือ
น่าเหลือเชื่อ ท่านกำพล ไม่สนใจ
สติท่าน แก่กล้า ไม่สับสน
เลือกจะเป็น คนสอนคน ไม่เฉไฉ
ปฏิบัติธรรม ด้วยเห็นทุกข์ ทางร่างกาย
ดับไม่เหลือ เชื้อเกิดใหม่ ให้เห็นเอยฯ