
ปลูกสมุนไพรไทย-ใช้จุลินทรีย์เพิ่มทางเลือกฝ่าวิกฤตดินเค็ม!
ปลูกสมุนไพรไทย -ใช้จุลินทรีย์เพิ่มทางเลือกฝ่าวิกฤตดินเค็ม! : ดลมนัส กาเจ
หากย้อนดูการแก้ปัญหาดินเค็มในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่กรมพัฒนาดินเอาจริงเอาจังด้วยการนำเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งวิธีวิศวกรรม คือ การปรับรูปแปลงนา เพื่อปรับสภาพพื้นที่ให้มีความสม่ำเสมอ การสร้างระบบระบายน้ำใต้ดินและการสร้างท่อลอดระบายเกลือ และวิธีการทางด้านพืช คือปลูกไม้ยืนต้นทนเค็มจำพวก กระถินออสเตรเลีย และปลูกหญ้าชอบเกลือ คือ หญ้าดิ๊กซี่ และในพื้นที่ที่มีระดับความเค็มปานกลางถึงเค็มน้อย และปลูกไม้เศรษฐกิจทนเค็มบนคันนา จำพวกยูคาลิปตัสบนคันนา ไถกลบตอซังข้าว และปลูกพืชปุ๋ยสดเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน จนสามารถแก้ปัญหาได้ในพื้นที่ราว 7 หมื่นไร่นั้น จะเน้นให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชในดินเค็มได้โดยเฉพาะข้าวเพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้แก่เกษตรกรเป็นหลัก
ล่าสุดการแก้ปัญหาดินเค็มในพื้นที่ภาคอีสานดูเหมือนว่าจะมีการบูรณาการมากขึ้น จะเห็นได้จากบนเวทีการประชุมวิชาการ “ดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 4” ณ โรงแรมพูลแมนขอนแก่นราชาออร์คิด อ.เมือง จ.ขอนแก่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รูปแบบของการแก้ปัญหาดินเค็มเริ่มบูรณาการมากขึ้น มีนักวิจัยและนักวิชาการมีการเสนอแนวทางใหม่จากเดิมที่จะต้องสู้กับสภาพดินเค็มเพื่อให้ปลูกพืชได้ หันมาสรรหาพืชเศรษฐกิจที่ปลูกในดินเค็มได้ อาทิ พืชสมุนไพรที่ทนเค็มที่ตลาดต้องการ หรือการใช้ประโยชน์จุลินทรีย์ทนเค็ม รวมถึงการปรับปรุงพันธุ์อ้อยทนเค็มด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น
สอดคล้องกับแนวคิดของ นายสุรเดช เตียวตระกูล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ที่มองว่าสภาพปัญหาดินเค็มส่งผลกระทบโดยตรงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ซึ่งจากการจัดประชุมวิชาการดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนี้ จะเป็นการรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการดินเค็ม ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูดินเค็ม การแก้ไขปัญหาดินเค็ม หรือการจัดการแบบวิธีอื่นที่นักวิชาการ นักวิจัยนำมาเสนอ เพื่อการฟื้นฟูและปรับปรุงดินเค็มให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินในการทำการเกษตร ให้มีความปลอดภัยยั่งยืน และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
ด้าน นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดินด้านวิชาการ กล่าวว่า การจัดประชุมวิชาการดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การวิจัยด้านดินเค็มของนักวิชาการและผู้มีส่วนได้เสียจากองค์กรต่างๆ กำหนดแนวทางการวิจัยและพัฒนาพื้นที่ดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอนาคตและทำให้ทราบข้อมูลที่ศึกษาวิจัยที่ผ่านมา รวมทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายและสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันการศึกษา รวมถึงชุมชนเข้มแข็งในพื้นที่ดินเค็ม มาแสดงศักยภาพของการพัฒนาในแนวใหม่เพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ดินเค็มอย่างยั่งยืน
“ฟังการบรรยายของนักวิชาการ การปลูกพืชสมุนไพรที่ทนเค็มก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะสมุนไพรบ้านเราไม่ด้อยไปกว่า ประเทศอื่นที่สามารถนำมารักษาโรคได้และตลาดต้องการด้วย อย่าง ไพร ฟ้าทะลายโจร ขิง นอกจากนี้ยังมองว่าในสภาพดินเค็มมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะส่งเสริมเกษตรกรหันมาเลี้ยงสัตว์บางชนิดได้หรือไม่” นายเข้มแข็ง กล่าว
ส่วนนายภิญโญ สุวรรณชนะ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 กล่าวว่า สภาพปัญหาดินส่วนใหญ่เป็นดินทรายและขาดความอุดมสมบูรณ์ ดินชะล้างพังทลายสูงจึงดำเนินการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ดินเค็มใน จ.ขอนแก่น ราว 6 หมื่นไร่ และมีเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 5,000 ราย จากที่ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ปี 2543 จึงทำให้มีผลสัมฤทธิ์ทางด้านสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ในมุมมองของนักวิชาการอย่าง ผศ.ดร.รุจิลักษณ์ รัตตะรมย์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า ที่ผ่านมาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคส่วนมาจากต่างประเทศ ส่วนสมุนไพรที่มีอยู่ในประเทศไทยจะเน้นในการบริโภคเป็นอาหารมากกว่า ทั้งที่ความจริงพืชสมุนไพรในประเทศไทยที่มีศักยภาพในการที่จะสกัดมาเป็นยารักษาโรคหลายชนิด จึงมองว่าจะมีชนิดใดบ้างที่จะสามารถปลูกในพื้นที่ดินและจะให้สารที่เป็นยาได้บ้าง เพื่อจะส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ที่มีสภาพดินเค็มเพื่อเสริมรายได้ จึงประสานกับโรงพยาบาลบางแห่งที่ต้องการสมุนไพร พบว่าบางโรงพยาบาลจะซื้ิอไพร ในราคา กก.ละ 16-18 บาท ขิง กก.ละ 20 บาท นอกจากนี้ยังมีฟ้าทะลายโจร สาบเสือ พริกไทย ลูกใต้ใบ เหงือกปลาหมอ แสมทะเล ที่คาดว่าจะปลูกในดินเค็มได้ ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนงานวิจัย คาดว่าอีกไม่นานจะทราบผลที่แน่นอนและสามารถส่งเสริมเกษตรกรที่สนใจปลูกได้
เช่นเดียวกับ ผศ.ดร.นวลจันทร์ ใจอารีย์ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในวงการวิชาการแพทย์ มองว่าตามที่กรมพัฒนาที่ดินเดินหน้าแก้ปัญหาดินเค็มในภาคอีสานมาหลายปี และทราบว่ามหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีการวิจัยพืชสมุนไพร จึงร่วมมือหาทางออกว่าจะมีพืชสมุนไพรอะไรบ้างที่ตลาดต้องการ มีความปลอดภัย รักษาโรค สามารถปลูกในพื้นที่ดินเค็มได้และตลาดต้องการ จึงร่วมมือกับ ผศ.ดร.รุจิลักษณ์ วิจัยและพอมองเห็นว่ามีพืชหลายชนิดที่จะปลูกได้ และจะให้กรมพัฒนาที่ดินไปส่งเสริมเกษตรกรในโครงการแก้ปัญหาดินเค็มต่อไป
ขณะที่ น.ส.ฉวีวรรณ เหลืองวุฒิวิโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางดิน กรมพัฒนาที่ดิน มองว่า การแก้ปัญหาดินเค็มต้องดำเนินการในหลายมิติ อย่างการใช้จุลินทรีย์ในดินเค็มก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะสามารถให้พืชเจริญเติบโตในดินเค็มได้ จึงนำจุลินทรีย์ที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ดินเค็มมาเพาะเลี้ยงด้วยการนำจุลินทรีย์มาแยกเอาเฉพาะที่แข็งแรง 2 ชนิด คือจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตที่ผลิตฮอร์โมนพืชและออกซิเจนจิบเบอเรลลินเพื่อเสริมความงอกของเมล็ด และรากของพืช กับจุลินทรีย์ไรโซเบียม เป็นจีนัสของแบคทีเรียที่อยู่ในปมรากของพืชตระกูลถั่วมาเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเชื้อ เมื่อได้แล้วจะนำไปปล่อยในพื้นที่ดินเพื่อให้สามารถปลูกพืชได้
นับเป็นความคืบหน้าอีกก้าวหนึ่งในการแก้ปัญหาดินเค็มโดยเฉพาะภาคอีสาน ที่หลายหน่วยงานเริ่มขยายการบูรณาการมากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกฐานะเกษตรกรในพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น