ไลฟ์สไตล์

เยือนหลงเหยียนเรียนรู้วิถีจีนแคะ

เยือนหลงเหยียนเรียนรู้วิถีจีนแคะ

21 เม.ย. 2559

ศิลปวัฒนธรรม : เยือนหลงเหยียน เรียนรู้วิถีจีนแคะ

 
      ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลติดอันดับต้นๆ ของโลก การท่องเที่ยวจึงค่อนข้างยากต่อให้เดินทางไปหลายสิบครั้งก็ยังไม่ทั่วถึง ส่วนเมืองที่คนไทยรู้จักและมีโอกาสผ่านไปเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้งก็อย่าง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซัวเถา นานกิง เสิ่นเจิ้น เป็นต้น แต่ครั้งนี้อาศรมสยาม-จีน สมาคมปัญญาภิวัฒน์ และบมจ.ซีพีออลล์ จัดโครงการพิเศษโดยมีจุดหมายปลายทางที่เมืองหลงเหยียน มณฑลฝูเจี้ยน หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อ มณฑลฮกเกี้ยน  เพื่อชมมรดกโลกบ้านดินที่มีอายุกว่า 100 ปี พร้อมเรียนรู้วัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนแคะที่นั่น โดยมี ผศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมให้ความรู้
 
      การเดินทางเริ่มต้นขึ้นหลังจากล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ที่สนามบินเซี่ยเหมิน ทันทีที่ก้าวออกจากสนามบินอุณหภูมิความร้อนที่ได้สัมผัสจากเมืองไทยหายไปอย่างสนิทใจ แทนที่ด้วยไอความเย็นและละอองฝนที่โปรยปรายลงมาต้อนรับคณะของเราไม่ขาดสาย ไกด์หนุ่มอารมณ์ดี สมหมาย แซ่หลิง เริ่มแนะนำเมืองเซี่ยเหมินว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของมณฑลฮกเกี้ยนรองจากฝูโจว และเป็นหนึ่งในเขตเศษฐกิจพิเศษของจีน เศรษฐกิจหลักนอกจากการทำประมงและท่าเรือแล้ว ยังมีโรงงานผลิตรถบัสตั้งอยู่ที่นี่ ทางตะวันออกของเซี่ยเหมินเป็นที่ตั้งของเกาะไต้หวัน ซึ่งจุดที่ใกล้ที่สุดคือเกาะจินเหมิน ระยะห่างไม่ถึง 2 กิโลเมตร และด้วยความใกล้กันนี้เองทำให้เซี่ยเหมินได้รับวัฒนธรรมจากไต้หวันค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัยสไตล์ยุโรป และอาหารการกินที่ได้รับอิทธิพลมาเต็มๆ 
 
      จากเมืองนี้ต้องขึ้นรถไฟความเร็วสูง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปยังเมืองหลงเหยียนซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลฮกเกี้ยน ระหว่างรอยต่อของมณฑลกวางตุ้งและมณฑลเจียงซี เมืองนี้ได้รับยกย่องให้เป็นเมืองมรดกทางวัฒนธรรมจีนแคะ เนื่องจากเป็นแหล่งที่ตั้งรกรากของชาวจีนแคะมาช้านาน ปัจจุบันมีชาวจีนแคะมากถึง 75 เปอร์เซ็นต์ของชาวเมืองทั้งหมด ซึ่งจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือ หมู่บ้านดินชาวฮากกา หรือหมู่บ้านดินของชาวจีนแคะ ในอำเภอหยงติ้ง
 
      ไกด์หนุ่มเล่าว่า บ้านดินเป็นที่อยู่อาศัยแบบโบราณของชาวจีนแคะ มีหลากหลายรูปทรง เช่น ทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยม ทรงห้าเหลี่ยม ทรงแปดเหลี่ยม เป็นต้น แต่หลักๆ ที่นิยมคือแบบทรงกลมและทรงสี่เหลี่ยม ในส่วนของอำเภอหยงติ้ง บ้านดินที่ค้นพบส่วนใหญ่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง โดยบ้านดิน 1 หลังคือ 1 ตระกูล ลักษณะจะเป็นอาคารขนาดใหญ่ บางหลังดูคล้ายป้อมปราการ สูงราว 3-4 ชั้น โดยจะเริิ่มสร้างจากชั้นล่างก่อน เมื่อมีลูกหลานเพิ่มขึ้นก็จะต่อเติมขึ้นไปด้านบน กำแพงชั้นนอกสร้างจากดินเหนียว ผสมและอัดแน่นเข้ากับวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ทราย ขี้เถ้า ฟาง ปูนขาว ข้าวเหนียว เป็นต้น ในสัดส่วนที่เหมาะสมแล้วอัดดินให้แน่น 
 
      ด้านในเสริมด้วยโครงไม้ไผ่เพื่อความยืดหยุ่นและการยึดเกาะ กำแพงบ้านดินขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรง ส่วนมากจะหนาราว 1-2 เมตร สูง 5-6 เมตร สามารถป้องกันไฟและป้องกันการโจมตีจากอาวุธของศัตรู นอกจากนี้ยังสามารถกันความร้อนได้ดีในฤดูร้อน ส่วนฤดูหนาวจะทำให้ภายในบ้านอบอุ่น ฐานกำแพงสร้างด้วยหินที่มีความทนทาน เหนือกำแพงขึ้นไปมีหลังคามุงด้วยกระเบื้อง ชายคาด้านนอกยื่นยาวออกมาเป็นพิเศษเพื่อกันน้ำฝนกัดเซาะตัวกำแพง ส่วนด้านในลานกลางบ้านเปิดโล่งรับแดด จึงทำให้รูปทรงดูคล้ายบ่อน้ำ
 
      ด้านในบ้านดินมีพื้นที่ใช้สอยครบครันและจัดสรรอย่างเป็นระบบ อย่างเช่นในบ้านดินทรงกลมห้องหับต่างๆ สร้างติดกับกำแพง หันหน้าเข้าหาศูนย์กลางของบ้าน โดยทั่วไปบ้านดินในอำเภอหยงติ้งจะมีห้องต่างๆ รวมกันราว 100-200 ห้อง แต่บางหลังที่มีขนาดใหญ่อาจมีถึง 400 ห้อง แต่ละห้องมีรูปแบบและขนาดเท่ากัน ส่วนมากชั้นล่างจะเป็นห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร บ้างก็ใช้เป็นคอกหมูหรือคอกวัว ชั้นสองใช้เป็นโรงเก็บของหรือธัญพืชต่างๆ 2 ชั้นล่างนี้ไม่มีหน้าต่างเปิดออกสู่ด้านนอกกำแพงเพื่อป้องกันโจรหรือศัตรู ส่วนชั้น 3 และ 4 เป็นห้องนอนของคนในบ้าน พื้นที่ตรงจุดศูนย์กลางของบ้านมักสร้างศาลบรรพบุรุษ และใช้เป็นพื้นที่ส่วนรวมสำหรับจัดงานพิธีต่างๆ นอกจากนี้ภายในบ้านดินยังมีบ่อน้ำ ห้องอาบน้ำ โรงโม่แป้ง และโรงเรียนที่ใช้ร่วมกันด้วย
 
      ปี 2008 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนบ้านดินชาวจีนแคะจำนวน 46 หลัง เป็นมรดกโลกลำดับที่ 36 ของประเทศจีน ในฐานะที่เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของภูมิปัญญาเก่าแก่ด้านวิศวกรรมที่สะท้อนรูปแบบการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนของมนุษย์ โดยมีระบบการป้องกันอย่างดี และยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถด้านการปรับตัวอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้อย่างกลมกลืน 
 
      ด้าน ผศ.วรศักดิ์ เล่าเสริมว่า จีนแคะเป็นกลุ่มชนที่ชอบอพยพโดยมีสาเหตุหลักๆ มาจากสงครามกลางเมือง เมื่อเกิดกบฏครั้งใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่ไม่สามารถทนอยู่กับสงครามนี้ได้ จึงต้องอพยพหนีสงครามไปอยู่ที่สงบ ซึ่งส่วนใหญ่ห่างไกลผู้คน อย่างบนภูเขาซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์น้อยกว่าจึงมีความมั่นใจว่าจะปลอดภัยแต่ตัวเองก็ต้องอยู่โดดเดี่ยว และสิ่งหนึ่งที่จีนแคะจะต้องทำไปโดยปริยายเนื่องจากถิ่นที่อยู่ของตัวเองไม่อุดมสมบูรณ์ เวลาจะอยู่จะกินค่อนข้างกระเหม็ดกระแหม่ ดังนั้นจึงมีวิธีการถนอมอาหารหลายแบบ อย่างเช่นผักปลูกไว้เยอะมากจนเหลือกิน แต่จะไม่ทิ้งเอามาทำเป็นผักตากแห้งเพื่อให้เก็บไว้กินได้นานๆ
 
      ชมความมหัศจรรย์ของบ้านดินเก่าแก่จนเต็มอิ่มแล้ว ก็ถึงเวลาออกกำลังขาด้วยการปีนขึ้น เขากว้านไจ้ซาน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีนแคะที่ได้รับยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพสวยงามของมณฑลฮกเกี้ยน เขากว้านไจ้ซานเป็นภูเขาสูงเกิดจากการยกตัวของพื้นราบ ยอดเขามีลักษณะเหมือนหมวกขนาดใหญ่ของขุนนางฝ่ายตุลาการ หรือหากมองจากจากที่ไกลๆ ก้อนหินบนยอดเขาจะเหมือนกับดอกบัวที่กำลังแย้มบาน เขากว้านไจ้ซานมียอดเขาหลักอยู่ 5 ยอด สูงจากระดับน้ำทะเล 661 เมตร นอกจากความสวยงามทางทัศนียภาพแล้วยังโดดเด่นในเรื่องความยิ่งใหญ่และแปลกตา บริเวณใกล้กับศาลาฉางโซ่ว ซึ่งเป็นศาลาเก่าแก่บนยอดเขา เป็นที่ตั้งของหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายอวัยวะเพศชาย ได้รับการขนานามว่า “แท่งหินแห่งชีวิต”
 
      อีกด้านหนึ่งของภูเขาเป็นทะเลสาบสือเหมิน บริเวณริมทะเลสาบมีหน้าผาสูงมีรอยแยกเป็นร่องสีดำบนแผ่นหินที่ราบเรียบ โดยรอบปกคลุมด้วยต้นหญ้าและตะไคร่น้ำ มองเผินๆ คล้ายอวัยวะเพศหญิง ผู้คนจึงเรียกจุดชมวิวนี้ว่า “ร่องหินแห่งชีวิต” ซึ่งทั้งแท่งหินและร่องหินนับเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเขากว้านไจ้ซาน เป็นความแตกต่างที่กลมกลืนตามหลักหยินหยางจนเกิดคำกล่าวที่ว่า “แข็งแกร่งที่สุดในทั่วหล้า อ่อนโยนยากหาผู้ใดเปรียบ”