
สิ้นหลวงพ่อทอง ศิษย์หลาน ท่านพ่อลี แห่งวัดอโศการาม
14 เม.ย. 2559
วิปัสสนาบนหน้าข่าว : สิ้นหลวงพ่อทอง ศิษย์หลาน ท่านพ่อลี แห่งวัดอโศการาม : บายไลน์...มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
เมื่อวันพุธที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๔.๑๐ น. พระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพ่อทอง จันฺทสิริ) เจ้าอาวาสวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ มรณภาพอย่างสงบจากการอาพาธเป็นโรคมะเร็งในลำไส้มากว่า ๕ ปี และได้เข้ารับการรักษาธาตุขันธ์ที่โรงพยาบาลศิริราช จนกระทั่งละสังขารที่โรงพยาบาล สิริอายุ ๘๔ ปี ๑๐ เดือน ๑๔ วัน ๖๔ พรรษา
ฉันทราบข่าวการละสังขารของท่านในเย็นวันนั้น จากศิษย์รุ่นพี่ อีกสองสามวันจึงไปกราบสรีระท่าน ที่วัดอโศการาม และได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อจำปี นรเสฎโฐ พระน้องชายหลวงพ่อทองจากการบอกเล่าของเพื่อน จึงได้สนทนาเกี่ยวกับความเป็นมาในการบวชเรียนของสองพี่น้องทางธรรมที่เดินตามรอยพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีร์เมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่านทั้งสอง ตั้งแต่วัยหนุ่ม จนกระทั่งพระพี่ชายสิ้น คงเหลือเพียงหลวงพ่อจำปี น้องชายคนสุดท้องของหลวงพ่อทองที่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์มาจนถึงทุกวันนี้
ท่านพ่อลี ผู้ก่อตั้งวัดอโศการาม เป็นศิษยานุศิษย์ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์พระป่าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้สร้างพระสุปฏิปันโน พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบฝากไว้ให้แผ่นดินไทย และโลกใบนี้มากมาย เพื่อได้รับความสงบเย็นใจตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างไม่ขาดตอนมาจนถึงทุกวันนี้
ในหนังสือ “ชีวประวัติท่านพ่อลี ธมฺมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า” เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า ท่านพ่อลี ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่พระอาจารย์มั่นให้ความเมตตา โปรดปราน และให้การยกย่องเป็นพิเศษว่า มีพลังจิตสูง เป็นผู้เด็ดเดี่ยว อาจหาญ เฉียบขาด ถึงพร้อมด้วยศีลและธรรม “สมศักดิ์ศรีที่ได้รับความไว้วางใจจากพระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม) ให้เป็นอัศวินแห่งกองทัพธรรมกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ที่มีธรรมะเป็นอาวุธ
หลวงพ่อทอง ซึ่งเป็นทั้งศิษย์หลานทางสายเลือดและเป็นศิษย์ใกล้ชิดท่านพ่อลี หลังจากบวชเรียนแล้วก็ดำเนินปฏิปทาพระป่าพระกรรมฐาน เช่นเดียวกับท่านอาที่มุ่งเน้นหนักเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาโดยตลอดชีวิต จนได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดอโศการามรูปที่สาม ต่อจากพระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) ซึ่งเป็นญาติของท่านพ่อลี เช่นกัน ตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ มาจนถึงปัจจุบัน
ท่านปรารภเรื่องการปฏิบัติไว้ว่า การศึกษาพระปริยัติธรรมแต่พอประมาณ เน้นหนักการปฏิบัติเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องจิตภาวนา สมถะอุบายให้สงบใจ วิปัสสนาอุบายให้เกิดปัญญา ถือเป็นหลักกรรมฐาน เป็นข้อวัตรปฏิบัติที่สำคัญอย่างยิ่ง
หลวงพ่อจำปี มีศักดิ์เป็นน้องชายคนที่ ๙ ของหลวงพ่อทอง ซึ่งหลวงพ่อทองเป็นลูกคนที่ ๖ ของคุณพ่อล้อมและคุณแม่คำ นารีวงษ์ เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อทอง เป็นผู้ที่พาท่านไปพบท่านพ่อลีที่จันทบุรี หลังจากเรียนจบป.๔ ก็ไม่ได้ทำอะไร ตอนนั้นพระพี่ชาย ก็ชวนมาบวช
"สมัยนั้นเดินทางมาวัดอโศการามด้วยรถไฟ แล้วก็เดินทางไปจันทบุรีต่อ ตอนนั้น ท่านพ่อลี ยังมีชีวิตอยู่และได้มาสร้างวัดอโศการามไว้แล้ว เตรียมฉลองกึ่งพุทธกาล ปี ๒๕๐๐ อยู่พอดี
“พอไปถึงจันทบุรี ตกกลางคืนท่านพ่อลีก็ให้นวด แล้วท่านก็ถามว่า จะเรียนหนังสือ หรือจะบวช ตอนนั้นอาตมาอายุ ๑๕ ปี ก็เลยบอกท่านไปว่า บวช ท่านก็เลยให้บวชเป็นเณรอยู่ที่วัดจันทราราม จ.จันทบุรี บวชแล้วก็ไปอยู่วัดวิเวการาม (วัดเขาน้อย) ท่าแฉลบ จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นวัดที่พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) เคยจำพรรษาอยู่ช่วงหนึ่งในพรรษา ๒๖-๒๗ (พ.ศ. ๒๔๙๑ ๒๔๙๒)
“หลังจากออกพรรษา ก็เดินทางกลับมาวัดอโศการามเพื่อเตรียมงานกึ่งฉลองพุทธกาล อาตมาบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ ๕ ปี แล้วบวชเป็นพระ ๑ ปี จากนั้นก็ลาสิกขา หลังจากท่านพ่อลีมรณภาพ แล้วก็กลับมาบวชใหม่อีก หลังจากสึกไปอยู่ทางโลก ๒๐ ปี รู้สึกว่า พอแล้ว ก่อนจะมาบวชอีกครั้งก็บอกอดีตภรรยาไว้ก่อนแล้ว เพราะเคยตั้งใจไว้ว่า ไม่มีอะไรดีเท่าบวช เธอก็ตกลง ให้อาตมากลับมาบวชอีกครั้งตอนอายุ ๔๐ ปี"
ย้อนกลับไปก่อนวันที่ท่านพ่อลีจะมรณภาพ หลวงพ่อจำปีเล่าว่า วันนั้นท่านพ่อลีเทศน์อบรมลูกศิษย์ตามปกติ ก่อนหน้านั้นท่านอยู่โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า ไปรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจโต
"ก่อนที่ท่านพ่อลีจะสิ้นกลับมาอยู่วัดได้ ๑๕ วัน หมอตรวจสุขภาพร่างกายว่าท่านสมบูรณ์ดีแล้ว กลับวัดได้ กลับมาท่านก็ทักทายญาติโยม ดูเหมือนว่า ไม่เป็นอะไรแล้ว บิณฑบาต ฉัน ปกติ วันที่ท่านสิ้น ท่านยังอบรมพระเณรอยู่เลย อบรมจนถึง ๔ ทุ่ม กลับไปกุฏิ อาตมาก็ยังไปนวดให้ พระครูพุทธิสารสุนทร (ท่านอาจารย์บุญกู้ อนุวฑฺฒโน) ท่านให้อาตมาเขียนเรื่องวาระสุดท้ายเกี่ยวกับท่านพ่อลี อาตมาก็เล่าว่า พอถึงสี่ทุ่มกว่า ท่านพ่อลีก็ขอเข้าจำวัด วันนั้นคือ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๐๔ วันต่อมา คือวันที่ ๒๖ เมษายน เวลา ๑๑.๐๐ น.แล้ว อาตมาก็เอะใจทำไมท่านยังไม่ตื่น เพราะปกติท่านตื่นเช้า ประตูท่านปิดใส่กลอนไว้ หน้าต่างโบราณท่านเปิดค้ำไว้ อาตมาก็ปีนเข้าทางหน้าต่าง พอเข้าไปพบท่านก็เห็นท่านหลับสบาย แต่นั่นคือ ท่านสิ้นไปแล้ว เลยไม่ทราบว่าท่านสิ้นเวลาเท่าไร แต่รู้ตอน ๑๑.๐๐ น. ของวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๐๔ สิริอายุ ๕๕ ปี ๒ เดือน ๒๕ วัน ๓๔ พรรษา
“สำหรับหลวงพ่อทอง ท่านอาพาธ เป็นมะเร็งมานานหลายปี ก่อนท่านจะมรณภาพ คุณหมอจะให้อาหารท่านฉันทางสายยาง ท่านไม่ขอรับ และขอกลับวัด แต่ด้วยท่านพยุงธาตุขันธ์ไม่ไหว ก็ละสังขารที่โรงพยาบาล ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านไปเข้าฝันหมอใหญ่ที่รักษาท่านว่า ฉันอยากกลับวัด เมื่อวันอังคารที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ จากนั้น ตีสี่ของวันรุ่งขึ้น คือวันพุธที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๙ ท่านก็มรณภาพอย่างสงบ"
วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ หลวงพ่อทองก็จะมีอายุครบ ๘๔ ปีเต็ม ที่วัดอโศการามจึงจัดบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ ๖๐ รูป ในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ และในวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จะมีบำเพ็ญกุศลศพครบรอบ ๕๐ วัน วันที่ ๒๓ มิถุนายน ก็จะครบ ๑๐๐ วัน และพระราชทานเพลิง วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๙
สำหรับหลักการภาวนาในชีวิตประจำวัน เพื่อนำเราไปสู่ความสงบทางใจดังเช่นครูบาอาจารย์พาปฏิบัติตามรอยพระพุทธองค์ หลวงพ่อจำปีแนะว่า ให้มีสติรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก และมีสติอยู่กับพุทโธให้ถี่ยิบ จนไม่มีช่องว่าง
“หลังจากบริกรรมพุทโธจนหายไป จากนั้น ให้สติไปจับลมหายใจ จนรู้ลมหายใจละเอียดขึ้น เราจะเห็นรูปกับนามชัดขึ้น รูปคือ การระลึกรู้พุทโธ นาม คือ ลมหายใจมันไม่มีตัวตน ระลึกรู้เช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดสติจะแข็งแรงขึ้นเป็นสมาธิ จนเกิดปัญญาในการพิจารณาไตรลักษณ์ เพื่อให้เห็นความเป็นจริงของชีวิตว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มันเป็นทุกข์ เป็นสมมติ และไม่มีตัวตนให้ยึดไว้ได้เลย”
ดังสรีระของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ละสังขารให้เราน้อมเข้ามาใส่ใจ จะได้เร่งความเพียรอย่าได้ประมาทในชีวิตอันไม่รู้วันตายจะมาถึง
ขอกราบขอขมาหลวงพ่อทอง จันฺทสิริ ด้วยกาย วาจา และใจ อันน้อมน้อมต่อพระรัตนตรัยอย่างที่สุด...และขอน้อมนำธรรมะจากหลวงพ่อทองมาเป็นอนุสติเตือนใจเราท่านทั้งหลาย ...ดังนี้
“ศีลคือความปกติ คำว่าปกตินั้นเป็นปกติที่ไม่ติดบาป เมื่อจิตไม่คิดบาป ควบคุมไว้ในจิตของเราได้ วาจาก็ไม่เกิดบาป กายก็ไม่เกิดบาป ถ้าจิตเป็นที่ตั้งที่เกิดศีลเป็นบาปเสียแล้ว เพราะถูกกิเลสเข้าย่ำยี มันก็ยากที่เราจะไม่ทำบาป ให้เกิดขึ้นในทางวาจาและทางกาย เพราะฉะนั้น ศีลจึงเป็นอริยทรัพย์ คือความปกติทางกาย วาจา ใจ”