
อย่าปล่อยให้ท้องผูก...จนเกินแก้
30 มี.ค. 2559
ดูแลสุขภาพ : อย่าปล่อยให้ท้องผูก...จนเกินแก้
ในปกติคนเราไม่จำเป็นต้องอุจจาระทุกวัน ตราบใดที่อุจจาระยังนิ่ม ไม่ต้องใช้ความพยายามในการเบ่งถ่ายมากกว่าปกติ และนานกว่าปกติ
คำจำกัดความของท้องผูก คือ ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ต้องเบ่งมากกว่าปกติ อุจจาระเป็นก้อนแข็ง รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด มีความรู้สึกว่าถ่ายไม่ออกเหมือนมีอะไรมาอุดกั้นบริเวณทวารหนัก
สาเหตุของท้องผูกส่วนมากเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันไม่ถูกวิธี การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ปกติตอนเช้าเป็นช่วงที่ลำไส้ทำงานดีที่สุด เมื่อเรารับประทานอาหารเช้ากระเพาะอาหารจะกระตุ้นให้มีการบีบตัว จะกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ทำงาน ทำให้อุจจาระมาสู่ที่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย เมื่ออุจจาระลงมาจะมีความรู้สึกอยากถ่ายหลังจากรับประทานอาหารเช้า ปกติจะเร่งมีอาการหลังจากอาหารเช้าครึ่งชั่วโมง ในกรณีที่หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้วรีบไปทำงาน ความรู้สึกอยากถ่ายของเราซึ่งมีระยะเวลาแค่ 2-3 นาที ความรู้สึกปวดถ่ายอุจจาระอาจจะไม่มีเลยทั้งวัน และจะทำให้อุจจาระแข็งขึ้นเรื่อยๆ
สาเหตุของท้องผูกแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 1.โรคประจำตัว ได้แก่ เบาหวาน ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติ ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง โรคทางระบบประสาทต่างๆ 2.ยาที่รับประทานเป็นประจำ ยาทางจิตเวช ได้แก่ ยาที่รักษาอาการซึมเศร้า ยาลดการบีบเกร็งในช่องท้อง ยาแก้แพ้ ยากันชัก ยาลดความดันโลหิต ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของมอร์ฟีน เหล็ก ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแคลเซียม อะลูมิเนียม ยาแก้ปวดยาลดไข้ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ (NSAIDS) 3.การอุดกั้นของทางเดินอาหาร ได้แก่ มะเร็งหรือเนื้องอกของลำไส้ใหญ่ทวารหนัก ลำไส้ตีบตัน ลำไส้พันกัน ภาวะการลดน้อยลงของปมประสาทบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่เป็นมาแต่กำเนิด
4.สาเหตุที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของลำไส้หรือกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายผิดปกติ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
4.1 กลุ่มที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวน 4.2 กลุ่มที่มีปัญหาการบีบตัวกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักไม่สัมพันธ์กับการเบ่ง หรือการเบ่งถ่ายอุจจาระไม่ถูกวิธี คือเวลาเบ่งถ่ายอุจจาระและขมิบก้นทำให้อุจจาระไม่ออก 4.3 กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวของอุจจาระในลำไส้ใหญ่ช้าเนื่องจากการเคลื่อนตัวที่ผิดปกติ
การที่คนเรามีอาการท้องผูกควรหาสาเหตุเพื่อได้รับการรักษาที่ถูกวิธี การรับประทานยาอย่างเดียวเป็นการรักษาตามอาการ ในกรณีที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน แก้ไขโดยการรับประทานอาหารเช้า ส่วนกลุ่มที่เบ่งไม่ถูกวิธีการฝึกการขับถ่ายจะช่วยแก้ไขอาการท้องผูกจะทำให้อาการดีขึ้น
อาการเตือนของท้องผูกที่ควรต้องรีบทำการตรวจ ถ่ายเป็นมูกเลือด น้ำหนักตัวลด มีท้องผูกสลับท้องเสีย ต้องใช้แรงเบ่งมาก ต้องใช้นิ้วล้วงเพื่อให้อุจจาระออก
การตรวจเพื่อหาความผิดปกติเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่และการทำงานของทวารหนัก ประกอบด้วย การตรวจดูการเคลื่อนผ่านของอุจจาระภายในลำไส้ใหญ่ (colon transit test) การตรวจดูการทำงานของทวารหนักและกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่าย (anorectal manometry) การทดสอบการเบ่งลูกโป่ง (balloon expulsion test)
ถ้าการเคลื่อนผ่านของอุจจาระ (colonic transit) ช้ากว่าปกติ แต่การตรวจดูการทำงานของทวารหนักและกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่าย และการเบ่งลูกโป่งปกติ แสดงว่าผู้ป่วยมีอาการท้องผูกจากการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ช้าผิดปกติ (colonic inertia)
ถ้าการเคลื่อนผ่านของอุจจาระปกติ แต่การตรวจดูการทำงานของทวารหนักและกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายรวมทั้งการเบ่งลูกโป่งผิดปกติด้วย แสดงว่าผู้ป่วยน่าจะมีอาการท้องผูกจากมีการบีบตัวของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักไม่ประสานกับการเบ่ง (anorectal dysfunction)
ถ้าการเคลื่อนผ่านของอุจจาระช้ากว่าปกติ และการตรวจดูการทำงานของทวารหนักและกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่าย รวมทั้งการเบ่งลูกโป่งผิดปกติด้วย บ่งว่าผู้ป่วยน่าจะมีอาการท้องผูกจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักไม่ประสานกับการเบ่ง และอาจจะมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ช้าผิดปกติร่วมด้วยได้ ควรทำการรักษาด้วย biofeedback training ก่อน ถ้าสามารถแก้ไขภาวะ anorectal dysfunction ได้แล้วแต่ผู้ป่วยยังมีอาการอยู่ แสดงว่าผู้ป่วยมี colonic inertia ร่วมด้วย ถ้าการตรวจทั้งสามชนิดปกติ แสดงว่าผู้ป่วยน่าจะเป็นภาวะลำไส้แปรปรวน
ทั้งนี้การรักษาโรคท้องผูกเริ่มต้นได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การดื่มน้ำที่เพียงพอ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และขับถ่ายให้เป็นเวลา อีกทางหนึ่งคือ การใช้ยาระบาย เช่น ยาระบายที่ออกฤทธิ์โดยการทำให้ปริมาณอุจจาระมากขึ้น (bulk-forming laxative) ยาที่ออกฤทธิ์โดยการดูดน้ำกลับเข้ามาในลำไส้มากขึ้น (osmotic laxative) ยาที่ทำให้อุจจาระอ่อนนิ่ม เช่น น้ำมันพาราฟิน (ELP co.) การใช้ยานี้นานๆ จะรบกวนการดูดซึมของวิตามินเอ, ดี, อี, เค โดยเฉพาะวิตามินดี เมื่อขาดจะมีผลต่อการดูดซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัส จึงห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์และเด็กเล็ก ยาที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (irritant laxatives) ยาระบายชนิดสวน/เหน็บ
นพ.สิทธิยศ จันทรสาขา
แพทย์เฉพาะทางศูนย์ทางเดินอาหาร
โรงพยาบาลไทยนครินทร์