ไลฟ์สไตล์

โคอุศุภราชาราชาวัวธนูเทพแห่งสัตว์ทั้งปวง

โคอุศุภราชาราชาวัวธนูเทพแห่งสัตว์ทั้งปวง

28 มี.ค. 2559

โคอุศุภราชาราชาวัวธนูเทพแห่งสัตว์ทั้งปวง : พระองค์ครู เรื่องและภาพ ไตเทพ ไกรงู

           โค หรือ วัว ที่มีนามว่า “อุศุภราช หรือ โคนนทิ” (อ่านว่า โค-นัน-ทิ) คือ โคเผือกที่เป็นพาหนะประจำขององค์พระศิวะ บนสวรรค์ชันฟ้า ซึ่งเทพบุตรองค์นี้ มีนามว่า “นนทิ” มีหน้าที่เป็นเทพที่คอยคุ้มครองดูแลบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งปวง ที่อาศัยอยู่ในป่าใกล้ๆกับเขาไกรลาส และเทพนนทิ เป็นเทพที่ครองสัตว์จัตุบาททั้งปวงนั้น ก็มักจะนิรมิตองค์เองให้กลายเป็น โคเผือก เพื่อให้พระศิวะได้เสด็จประทับไปยังที่ต่างๆ จนเป็นเสมือนพาหนะประจำตัวขององค์พระศิวะไปโดยปริยาย

           นอกจากนี้ ในคัมภีร์โบราณนั้นยังบันทึกไว้ด้วยว่า เทพบุตรนนทิองค์นี้ ไม่ได้เป็นคู่เทพที่จะมาแปลงกายเป็นโคให้พระศิวะได้เสด็จประทับเป็นพาหนะเท่านั้น แต่พระนนทิก็ยังเป็นหัวหน้าแห่งเทพบริวารทั้งหลายทั้งปวง

           การจัดสร้างโคอุศุภราชา หรือ วัวธนูทรงเครื่อง ของ หลวงปู่ครูบาครอง ขตฺติโย นั้น ในสมัยที่หลวงปู่ครูบาครอง ขตฺติโย ออกจาริกธุดงควัตโรนั้นได้มีโอกาสพบกับครูบาอาจารย์หลายรูป รวมถึงครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ จ.ลำปาง และครูบาคำแสน คุณาลังกาโร วัดป่าดอนมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ได้สอนคาถาปลุกเสกวัวธนู และเล่าให้ฟังว่า วัวธนูมีพุทธคุณแบบที่เรียกว่าครอบจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมตตามหานิยม มีเสน่ห์ การค้าขายดีเยี่ยม ทั้งยังปกป้องคุ้มครองตนเองและบ้านพักอาศัย ทำให้ศัตรูกลับมารัก ทำน้ำมนต์ก็ดีเลิศ

           ในครั้งที่หลวงปู่ครูบาครองยังอยู่ในป่าประมาณ พ.ศ.๒๕๓๐ ในขณะปฏิบัติกรรมฐานอยู่นั้น ท่านได้นิมิตเห็นโคอุศุภราชา พาหนะของพระศิวะ มาหาท่าน ท่านได้เอาน้ำเอาหญ้าให้โคอุศุภราชากิน เมื่อโคอุศุภราชากินหญ้าและน้ำหมด ก็ได้คลายลูกแก้วมอบให้หลวงปู่มาหนึ่งลูก แล้วก็หายไปในนิมิต

           เมื่อเวลาได้ผ่านล่วงมาถึงปัจจุบันนี้หลวงปู่ครูบาครอง ขตฺติโย ก็ได้เห็นสมควรแก่เวลาแล้วที่จะจัดสร้างโคอุศุภราชา โดยใช้การปลุกเสกตามแบบโบราณที่ได้เล่าเรียนมาจากครูบาอาจารย์ต่างๆ แต่ในครั้งนี้มีความพิเศษตรงที่โคอุศุภราชา เป็นราชาเทพแห่งสัตว์ทั้งปวง จึงมีฤทธิ์สูงสุด

           วัวธนู เป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ซึ่งมีทั้งลักษณะที่เป็นรูปลักษณ์ของวัวอันเกิดจากการหล่อ ที่เป็นรูปลักษณ์ของวัว วัวธนูชนิดที่ได้จากการหล่อนี้ มักเป็นรูปหล่อจากโลหะอาถรรพณ์ เช่น เศษบาตรพระที่แตกชำรุด ตะปูตอกโลงศพผีตายโหงเจ็ดป่าช้าหรือโลหะที่ถลุงจากทองขวานฟ้า (แร่โลหะที่อยู่บริเวณฟ้าผ่า) ส่วนที่ได้จากการปั้นมักใช้ดิน ขี้ผึ้ง หรือ ครั่ง ซึ่งได้มาจากที่ต่าง ๆ กล่าวคือ

           ดินมักเป็นดินจากขี้เถ้าของศพคนตายวันเสาร์เผาวันอังคาร ดินจากป่าช้าเจ็ดแห่ง ดินที่พลีมาจากสี่มุมเมือง ดินจากจอมปลวกอารักษ์เมืองหรือดินโป่ง ถ้าเป็นขี้ผึ้งมักเป็นขี้ผึ้งจากเทียนจังกร (เทียนที่จุดข้างโลงศพขณะมีพิธีชักผ้าบังสุกุล) ขี้ผึ้งจากรังของผึ้งที่รุมต่อยคนจนคนเสียชีวิตหรือขี้ผึ้งบริสุทธิ์ที่ซื้อจากร้านสี่มุมเมือง และหากเป็นครั่งก็มักเป็นครั่งจากไม้พุทรา

           สำหรับวัวธนูที่มาจากการแกะ ส่วนใหญ่จะแกะจากเขาวัวตายฟ้าผ่า งาช้าง นอแรด และเขี้ยวหมูตันเป็นต้น ส่วนที่ได้จากการสานมักสานจากตอกไม้ไผ่หรือหวายเป็นรูปวัวมีเขาและขาพอเป็นรูปร่าง

           วัวธนูทรงเครื่องตำหรับ ของ หลวงปู่ครูบาครอง ขตฺติโย นั้น สร้างจากมวลสารโลหะพุทธคุณ และโลหะอาถรรพ์ ดังต่อไปนี้ ๑. ทองแดงเถื่อน ๒.ทองแดงบริสุทธ์๓. ดีบุก ๔. ตะปูตรึงโลงศพ ๗ ป่าช้า ๕. เหล็กขนันผี,เงินปากผีตายท้องกลม,งั่ง ๖. เหล็กยอดเจดีย์, ทองขวานฟ้า๗. กระสุนปืนด้าน,ดาบโบราณ ๘. เคี้ยวเกี้ยวข้าวโบราณ ๙. ตะขอสับช้าง

           ขอบคุณภาพจาก “http://www.krubaklong.com”