
เทคนิครักษาโรคใหลตายด้วยการจี้หัวใจ (1)
16 มี.ค. 2559
ดูแลสุขภาพ : เทคนิครักษาโรคใหลตายด้วยการจี้หัวใจ (1)
ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีก่อน ช่วงปี 2535-2538 มีโรคลึกลับที่สร้างความตื่นตระหนกแก่คนในยุคนั้นเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีคนหลายคนที่อยู่ๆก็เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยนอนหลับแล้วเสียชีวิตไปเฉยๆ โดยไม่มีอาการบ่งชี้ล่วงหน้า ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน รวมทั้งแรงงานไทยที่ไปทำงานในประเทศสิงคโปร์ก็เสียชีวิตในลักษณะนี้อีกหลายคนเช่นกัน ซึ่งการเสียชีวิตในลักษณะนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “โรคใหลตาย”
รู้จักโรคใหลตาย
นพ.กุลวี เนตรมณี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยหัวใจเต้นผิดจังหวะ แปซิฟิก ริม ในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา และอายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ ศูนย์หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้ข้อมูลว่า โรคใหลตายเป็นกลุ่มโรคเดียวกับ Brugada Syndrome และ EarlyRepolarization Syndrome ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้หัวใจห้องล่างเต้นเร็วมากจนทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน ส่วนกลไกที่เป็นสาเหตุของ Brugada หรือ Early Repolarization เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ยังเป็นสิ่งที่ทางการแพทย์ต้องทำการศึกษากันต่อไป
อาการของโรคนี้ ผู้ป่วยมักเสียชีวิตฉับพลันในเวลากลางคืน ทั้งๆ ที่เป็นคนแข็งแรงและไม่เคยป่วยมาก่อน ในประเทศไทยมักพบเจอบ่อยในภาคอีสานและบางส่วนของภาคกลาง ช่วงอายุผู้ป่วยอยู่ระหว่าง 30-50 ปี ที่สำคัญคือ โรคนี้ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป และผู้ป่วยมักเป็นกำลังสำคัญของครอบครัวและสังคม ดังนั้น หากอยู่ๆ เสียชีวิตไปจะทำให้มีปัญหาต่อคนที่อยู่ข้างหลังได้
จากปริศนาดังกล่าว นพ.กุลวี ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ ทำการศึกษาบุกเบิกสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อค้นหาสาเหตุและแนวทางการรักษาโรคใหลตาย โดยในปี 2539 นพ.กุลวีและคณะวิจัยได้ค้นพบว่า อาการของโรคนี้มีความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกตินี้จะมีรูปแบบเฉพาะ ที่ภายหลังเรียกว่า เป็น Brugada Syndrome ล่าสุด เมื่อ 4-5 เดือนที่ผ่านมา มีการค้นพบใหม่อีกว่า ผู้ป่วยโรคนี้จะมีพังผืดในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวา พยาธิสภาพของโรคนี้ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาว่าพันธุกรรมมีส่วนกระตุ้นให้เป็นโรคใหลตายอย่างไร

“องค์ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ ทำให้ปัจจุบันเรามีความรู้มากขึ้น เราบอกได้ว่าโรคนี้สัมพันธ์กับพังผืดที่หัวใจข้างขวา แต่พังผืดเกิดจากอะไรเรายังไม่รู้สาเหตุ รวมทั้งยังไม่รู้ว่าพันธุกรรมมีส่วนทำให้เกิดโรคอย่างไรต่างจากเมื่อ 20 ปีก่อนนี้ ที่เราไม่รู้อะไรเลย ทฤษฎีต่างๆ ในสมัยก่อนก็คนละเรื่องกับสมัยนี้ ตอนนี้เรามีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้นว่าเป็นเพราะอะไร เกิดจากอะไร และเราก็ควรจะภูมิใจ เพราะองค์ความรู้เหล่านี้ที่มีทั่วโลกเกิดจากการศึกษาวิจัยในเมืองไทย” นพ.กุลวี กล่าว
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการ Brugada Syndrome และ Early Repolarization Syndrome คือคนที่เคยมีอาการ Cardiac Arrest หรือภาวะหัวใจเต้นระริกไม่มีการบีบตัว ทำให้ไม่มีการไหลเวียนเลือด ไม่มีการลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งอาการนี้ หากไม่มีประวัติเป็นโรคหัวใจชนิดอื่นมาก่อนก็พบว่าเกิดจากกระแสไฟฟ้าของหัวใจผิดปกติ รวมทั้งอาการ Agonal respiration หรือการหายใจเป็นเฮือกๆ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้นหลังหัวใจหยุดเต้น คนกลุ่มนี้แม้มีชีวิตรอดจากการช่วยปั๊มหัวใจมาได้ครั้งหนึ่ง ก็ยังมีความเสี่ยงจะเกิดซ้ำอีก
พัฒนาเทคนิคการรักษาด้วยการจี้หัวใจ
สำหรับแนวทางการรักษาผู้มีอาการ Brugada Syndrome และ Early Repolarization Syndrome ในขณะนี้แนวทางแรกคือการใส่เครื่องกระตุกหัวใจ (Implantable Defibrillator) ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าป้องกันการเสียชีวิตได้ โดยเมื่อเกิดอาการภาวะหัวใจห้องล่างเต้นระริกโดยไม่มีการหดตัว (Ventricular Fibrillation) เครื่องกระตุกหัวใจก็จะช็อกหัวใจให้กลับมาทำงานอีกครั้ง
นอกจากนี้ นพ.กุลวียังได้บุกเบิกวิธีการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency ablation) ผ่านสายจี้บริเวณจุดที่มีปัญหา ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยี 3-Dimension electroanatomical mapping มาจำลองภาพ 3 มิติของหัวใจ เพื่อให้แพทย์มองเห็นการทำงานของกระแสไฟฟ้าหัวใจได้ชัดเจน และค้นหาตำแหน่งที่มีความผิดปกติได้อย่างแม่นยำ โดยวัตถุประสงค์การรักษาแนวทางนี้คือ มุ่งรักษาโรคให้หายขาด ต่างจากการใส่เครื่องกระตุกหัวใจที่ไม่ใช่ทางแก้ แต่เป็นการป้องกันการเสียชีวิตเท่านั้น
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์