ไลฟ์สไตล์

เรียนรู้'บอลลีวู้ด'อินเดียยกระดับอุตฯหนังไทย

เรียนรู้'บอลลีวู้ด'อินเดียยกระดับอุตฯหนังไทย

16 มี.ค. 2559

เรียนรู้'บอลลีวู้ด'อินเดียยกระดับอุตฯหนังไทย : ชุลีพร อร่ามเนตรรายงาน

           แต่ละประเทศล้วนมีจุดเด่นจุดขายที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหากนึกถึง “อินเดีย” นอกจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา และผู้คนจำนวนมาก “อุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย” อีกหนึ่งต้นแบบของการพัฒนาต่อเนื่องจนนำไปสู่การยอมรับจากทั่วโลก อย่าง บอลลีวู้ด แต่ละปีผลิตภาพยนตร์มากกว่า 5,000 เรื่อง และที่น่าสนใจ ชาวอินเดียยังคงนิยมดูภาพยนตร์อินเดียต่อให้ผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า

           เมื่อเร็วๆ นี้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ได้นำทีมคณะผู้บริหาร กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) สถานกงสุลใหญ่เมืองมุมไบ, กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้ทรงคุณวุฒิภาพยนตร์ของไทย เยือนมุมไบ ประเทศอินเดีย เพื่อหารือร่วมกับ Devendra G.Fadnavis มุขมนตรีแห่งรัฐมหาราษฏระ, Vinod Tawde รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมรัฐมหาราษฏระ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ เตรียมการจัดทำข้อตกลงการร่วมลงทุนด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ระหว่างประเทศไทยและอินเดีย ประจำปี 2559

           พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า อินเดีย เป็นประเทศที่มีการดำเนินการด้านธุรกิจภาพยนตร์ได้ดี มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเขียนบทภาพยนตร์ การบ่มเพาะเยาวชน ผู้กำกับรุ่นใหม่ รวมถึงเผยแพร่ การตลาด ยกระดับอุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดียให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างยาวนาน การมาครั้งนี้ เป็นการเรียนรู้ถึงการทำงาน การพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ศาสนา ศึกษาการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ทางด้านภาพยนตร์ และที่สำคัญขยายความร่วมมือระหว่างไทยและอินเดีย ทั้งในเชิงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ร่วมกันสร้าง ร่วมกันลงทุน และขยายการท่องเที่ยวไทยสู่อินเดีย

           “แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากอินเดียมาท่องเที่ยวในไทย ประมาณ 10% นำรายได้เข้าประเทศจำนวนมาก ถ้าขยายความร่วมมือทุกด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในเชิงท่องเที่ยว หรือเปิดโอกาสให้ภาพยนตร์อินเดียมาถ่ายทำในประเทศไทย ตอนนี้จังหวัดภูเก็ตได้รับความนิยม หากมีการขยายไปจังหวัดอื่นๆ เชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่เปิดโอกาสให้นักลงทุน ผู้กำกับ นักแสดงไทยที่มีความสามารถ ได้มาเรียนรู้ เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของไทย และดึงนักท่องเที่ยวเพิ่มรายได้ให้แก่ประเทศมากขึ้น”

           อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดีย หรือบอลลีวู้ด เป็นอุตสาหกรรมสำคัญประเทศที่สร้างรายได้อย่างมหาศาล ถึง 6 หมื่นล้านบาท เป็นตลาดใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก และกระจกสะท้อนวิถีชีวิต ค่านิยมของสังคมอินเดียตามยุคสมัย และปัจจุบันมีความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับหลายประเทศอย่างกว้างขวาง

           รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ภาครัฐอินเดียยินดีสนับสนุนประเทศไทยและมีโอกาสที่จะร่วมลงทุนด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอนาคต อาทิ การเปิดตลาดภาพยนตร์ไทยในอินเดีย และขยายการถ่ายทำภาพยนตร์อินเดียในประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน การมาเยือนครั้งนี้ ยังได้มีโอกาสเยี่ยมชมหน่วยงานภาคเอกชนที่ส่งเสริมการผลิตและถ่ายทำภาพยนตร์ของเมืองมุมไบ ทำให้ทราบความเป็นมาของการเริ่มผลิตภาพยนตร์ในยุคแรกๆ ของอินเดีย ตั้งแต่การเปิดโรงเรียนสอน จนกระทั่งเปิดตลาดสู่โลกภายนอก ซึ่งเป็นประโยชน์กับประเทศไทยที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ เพื่อนำไปเป็นแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทยให้พัฒนามากยิ่งขึ้น

           “บอลลีวู้ด” ไปถ่ายทำที่ประเทศไทยปีละกว่า 100 เรื่อง สร้างรายได้แก่ไทยปีละ 300 ล้านบาท ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า การมาเยือนมุมไบครั้งนี้ ทำให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทยที่ร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มองเห็นภาพรวมและความเป็นมืออาชีพในเรื่องการผลิตอย่างลึกซึ้ง ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงนำภาพยนตร์ไทยมาฉายในนิทรรศการ ที่ประเทศอินเดีย หรือนำภาพยนตร์อินเดียไปฉายในประเทศไทย แต่แลกเปลี่ยนบุคลากรด้านภาพยนตร์ในอนาคต อีกทั้งอุตสาหกรรมอินเดีย ยังมีทิศทางพัฒนาที่ดึงต่างประเทศไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่อินเดีย บ่มเพาะเยาวชน และผู้กำกับหนังที่มีพรสวรรค์ พัฒนาการเขียนบทให้ออกมาเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นจุดที่ประเทศไทยต้องเรียนรู้และศึกษาเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทย

           ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมากระทรวงวัฒนธรรมได้ขับเคลื่อนมาอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ รวมถึงแอนิเมชั่น เกม เพลง สูงขึ้นเรื่อยๆ อาทิ ปี 2552 มีมูลค่า 56,168 ล้านบาท ปี 2554 มูลค่า 77,512 ล้านบาท และปี 2557 เพิ่มเป็น 180,591 ล้านบาท ดังนั้น หากประเทศไทยได้รับความร่วมมือจากอินเดียและเป็นพันธมิตรผลิตภาพยนตร์ อุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทยมีความก้าวหน้า สามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยจะเป็นที่นิยมสู่สายตานานาชาติมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

           ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ภาษา และเป็นประเทศที่มีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนมาก รวมถึงมีความแตกต่างเรื่องชนชั้น วรรณะอย่างมาก ประชาชนของอินเดีย จึงต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยว ซึ่งในอดีตคงเป็นเรื่องศาสนา

           สุวรรณี ชินเชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ กล่าวว่า วัฒนธรรมอินเดียพัฒนามาอย่างยาวนาน และการที่อินเดียมีประชาชนมากย่อมต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยว ซึ่งตอนนี้นอกจากศาสนาแล้ว ภาพยนตร์ดูเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวของคนอินเดียอีกเช่นกัน โดยสังเกตได้จากการเข้าพบผู้ที่ผลิตภาพยนตร์ในประเทศอินเดีย แนวการสร้างสรรค์ภาพยนตร์เป็นการทำให้คนเกิดแรงบันดาลใจเพื่อสู้ต่อไป เพราะคนในอินเดียเจอปัญหาหลายอย่าง ทั้งความยากจน โอกาส การทำภาพยนตร์อินเดีย เป็นการใช้สื่อเพื่อให้คนอินเดียมีแรงบันดาลใจ มุ่งมั่น มีความฝันในการใช้ชีวิต ต่อสู้ชีวิตต่อไป

           “หน่วยงานภาครัฐอินเดียสนับสนุนภาพยนตร์อินเดียมานาน ต่อเนื่อง จัดเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมบันเทิงในเชิงสร้างสรรค์ และจากการได้พูดคุยหารือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เข้าพบ ทำให้เห็นได้ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย มีระบบ มีการสนับสนุนผู้กำกับรุ่นใหม่ตั้งแต่การเขียนบทภาพยนตร์ การสร้างภาพยนตร์ร่วมกัน หรือโคโปรดักชั่น และการทำการตลาด การจัดจำหน่ายภาพยนตร์อินเดียสู่ต่างประเทศ แตกต่างกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยที่หน่วยงานราชการต้องหันมาสนับสนุนภาพยนตร์ไทยมากขึ้น ทั้งในส่วนของผู้กำกับรุ่นใหม่ การเขียนบท ต้องมีการสรรหาคนกลุ่มหนึ่งที่จะมาทำภาพยนตร์ให้เป็นสื่อสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ประชาชนของประเทศไทยได้ ไม่ใช่พอพูดถึงภาพยนตร์ไทย คนไทยกลับเบืองหน้าหนี ดังนั้น ต้องมีการสนับสนุน เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ผู้กำกับรุ่นใหม่ มานำเสนอ ภาพยนตร์โดยการสื่อสารที่แหวกแนว แต่เป็นภาษาที่สามารถสื่อไปถึงมวลชนได้”

           อุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดียและไทยมีอิสระในการจัดทำภาพยนตร์ แต่คนอินเดียมีความเป็นชาตินิยม ฉะนั้น กระทรวงวัฒนธรรม หน่วยงานภาครัฐต้องไม่หยุดในการสรรหาผู้กำกับรุ่นใหม่ ศิลปิน นักแสดงที่มีคุณภาพ ช่วยสร้างสรรค์ภาพยนตร์ เพื่อสังคมโดยที่ยังคงอรรถรสสู่ประชาชนได้ รวมถึงฝ่ายรัฐบาลต้องช่วยสนับสนุน ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมีความเข้มแข็งในตลาดอีกด้วย เช่น การลดภาษี ให้แก่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ประเทศอื่นๆ เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย เป็นทั้งการโปรโมทการท่องเที่ยว และเป็นการเพิ่มรายได้เข้าประเทศอีกด้วย