
เหรียญช้างสามเศียรเหรียญกษาปณ์อันทรงคุณค่าและมูลค่า
เหรียญช้างสามเศียรเหรียญกษาปณ์อันทรงคุณค่าและมูลค่า : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู
วันที่ ๑๓ มีนาคม ของทุกปี ถือว่าเป็น “วันช้างไทย” ประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งที่น่าศึกษา คือ รูปช้าง ที่ปรากฏบนเหรียญกษาปณ์ โดยเริ่มมีพัฒนาการจากชาวสยามใช้เงินพดด้วง และหอยเบี้ยเป็นเงินปลีก มาตั้งแต่ยุคสมัยสุโขทัย ในบางครั้งเมื่อธุรกิจการค้า เจริญรุ่งเรืองดี จนเป็นเหตุให้เงินพดด้วง ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน ซื้อขาย มีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ หลังจาก พระยาจุฬาราชมนตรี (นวม) กลับมาจากสิงคโปร์ ได้กราบบังคมทูล ว่า ทางเมืองสิงคโปร์ใช้เบี้ยทองแดงในการซื้อขาย รัชกาลที่ ๓ จึงทรงมีพระราชดำริเห็นว่า เมืองสยามควรใช้เบี้ยทองแดงบ้าง จึงโปรดให้นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวอังกฤษเชื้อสายสกอต ซึ่งเป็นชาวยุโรปคนแรกที่มาตั้งร้านค้าในประเทศไทย (สยาม) เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๘ จนต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงอาวุธวิเศษประเทศพาณิช” ที่ชาวสยามชอบเรียกกันว่า “นายหันแตร” และเป็นคนที่นำตัว “นายอิน-นายจัน” แฝดสยามชาวไทย เดินทางไปโชว์ตัวที่สหรัฐอเมริกา
นายหันแตร เป็นผู้รับจัดทำเหรียญตัวอย่างนี้ส่งเข้ามาเพื่อทอดพระเนตร แต่รัชกาลที่ ๓ ไม่ทรงโปรด เหรียญตัวอย่างที่ส่งเข้ามานี้มี ๒ แบบคือ ๑.เหรียญช้าง ด้านหน้าเป็นรูปช้างยืนเต็มตัว หันข้างและหัวอยู่ทางซ้าย มีตัวเลขไทย ระบุปี จุลศักราช ๑๑๙๗ (ตรงกับ พ.ศ.๒๓๗๘) ด้านหลังมีอักษรเขียนว่า “เมืองไท” ไม่ระบุชนิดราคาของเหรียญ นักสะสมจะเรียกว่ารุ่น “เหรียญช้างเมืองไท” ๒.เหรียญดอกบัว ด้านหน้าเป็นรูปดอกบัว เบื้องล่างมีตัวเลขไทย ระบุปี จุลศักราช ๑๑๙๗ ด้านหลังมีอักษรเขียนว่า “เมืองไท” ไม่ระบุชนิดราคาของเหรียญ นักสะสมนิยมเรียก “เหรียญตราดอกบัว”
นายศราวุฒิ วรพัทธ์ทวีโชติ หรือ “คุณเจมส์” เจ้าของกิจการร้าน Siam Coin & Antiques “ร้านกษาปณ์เมืองสยาม” หรือ “ร้าน Siamcoin” และเลขานุการสมาคมเหรียญที่ระลึกไทย ให้ข้อมูลว่า เหรียญรุ่นนี้ได้รับการออกแบบและผลิตโดยบริษัทฮีตัน แห่งเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เหรียญตัวอย่างทั้งสองแบบนี้ เนื้อทองแดง ผลิตมาจำนวนอย่างละ ๕๐๐ เหรียญ นอกจากนี้ยังพบว่ามีเหรียญเนื้อเงินด้วย จำนวนน้อยมาก พบเพียงแบบละเหรียญสองเหรียญเท่านั้น มูลค่าของเหรียญเนื้อเงินอยู่ที่หลักล้าน ส่วนเนื้อทองคำในบางตำราระบุว่ามีด้วย แต่ในความเป็นจริงที่พบมีเพียงเหรียญช้างเมืองไท เนื้อทองแดงกะไหล่ทองให้เห็นเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น
สำหรับเหรียญรูปช้างเหรียญแรกของไทยนี้เป็นเพียงเหรียญตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้นำออกมาใช้เนื่องจากเหรียญรุ่นนี้ไม่เป็นที่ทรงโปรด รัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชดำริว่า “ดอกบัวเป็นตรากรมท่า หาได้เกี่ยวกับตราของแผ่นดินไม่” นอกจากนี้ช้างที่เป็นแบบในเหรียญยังมีลักษณะไม่เหมือนกับช้างไทย และเป็นเหรียญที่ออกมาแบบเดียวกับเหรียญที่ประเทศศรีลังกาใช้อยู่ ดังนั้นเหรียญรุ่นนี้ทั้งสองแบบจึงไม่โปรดเกล้าฯ ให้ใช้ สำหรับเหรียญเนื้อทองแดง มูลค่าในการสะสมปัจจุบันเหรียญสภาพไม่สวยอยู่ที่หลักหมื่นกลางๆ ขึ้นไป เหรียญสวยมากๆ อยู่ที่ราวๆ แสนกว่าบาทจนถึงสองแสนบาท
หลังจากเหรียญรุ่นนี้สัญลักษณ์รูปช้างก็จะปรากฏอยู่ด้านหลังของเหรียญมาโดยตลอด ในสมัยรัชกาลที่ ๔ จะเป็นตราพระมหามงกุฎ ด้านหลังเป็นช้างในวงจักร สมัยรัชกาลที่ ๕ จะใช้ในช่วงแรกๆ ของรัชสมัยของพระองค์ ต่อมามีการเริ่มใช้ตราแผ่นดิน หรือตราอาร์ม ที่เราจะเห็นติดอยู่ที่หน้าหมวกของตำรวจในสมัยนี้ มาช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ จะใช้เป็นตราช้างสามเศียร ซึ่งตราช้างสามเศียรนี้ใช้ต่อเนื่องจนมาถึงในสมัยรัชกาลที่ ๖
เหรียญช้างสามเศียรรุ่นแรกของไทย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสั่งทำเหรียญกษาปณ์ทองขาว (เนื้อนิเกิ้ล) เข้ามาใช้ในสยาม มีสี่ชนิดราคา ได้แก่ ๑.ชนิด ๒ ๑/๒ สตางค์ ๒.ชนิด ๕ สตางค์ ๓.ชนิด ๑๐ สตางค์ และ ๔.ชนิด ๒๐ สตางค์ เรียกกันในยุคนั้นว่า “เบี้ยสตางค์ทองขาว” นำประกาศออกใช้เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๑ ควบคู่ไปพร้อมกับเงินพดด้วง และเหรียญกษาปณ์ระบบแบบเก่า เหรียญเบี้ยสตางค์รุ่นนี้ ด้านหน้าเป็นรูปช้างสามเศียร มีอักษรล้อมรอบด้านบนว่า “สยามอาณาจักร” ด้านล่างระบุปี ร.ศ.๑๑๖ ด้านหลังมีตัวเลขไทย ระบุชนิดราคาของเหรียญ พร้อมกับตัวอักษรชนิดราคาของเหรียญ นักสะสมนิยมเรียกว่ารุ่น “สยามอาณาจักร” คำว่า สตางค์ มีความหมายว่า ส่วนของร้อย นับแต่วันนั้นมาประเทศสยามจึงมีหน่วยเงินหลักคือ บาท และหน่วยย่อย คือสตางค์
แต่เนื่องจากคนในยุคนั้นยังสับสนไม่คุ้นเคยกับหน่วยเงินตราแบบใหม่ จากเดิมที่ใช้โสฬส, อัฐ, เสี้ยว, ซีก, เฟื้อง, สลึง, บาท, ตำลึง และชั่ง ประกอบกับการแตกเงินปลีกตามระบบใหม่เทียบกับหน่วยเงินตราเดิมไม่ลงตัว เป็นเหตุทำให้ประชาชนไม่นิยม ทางการจึงเปลี่ยนมาทำเหรียญปลีกที่ประชาชนต้องใช้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เป็นเนื้อทองแดง และทองขาว (นิเกิ้ล) มี ๓ ชนิดราคาคือ ๑ สตางค์, ๕ สตางค์ และ ๑๐ สตางค์ และจนในปี ๒๔๔๗ จึงมีประกาศยกเลิกการใช้เงินพดด้วงในการชำระหนี้โดยสิ้นเชิง
เหรียญเบี้ยสตางค์ทองขาวรุ่นนี้จึงเป็นเหรียญเงินปลีก หน่วยสตางค์ รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ใช้ตราช้างสามเศียรบนหน้าเหรียญ เป็นเหรียญที่เป็นหลักฐานจุดเปลี่ยนของระบบบัญชีของไทยที่จะได้ใช้จุดทศนิยมได้ เช่นเดียวกับอารยประเทศอื่นๆ นับเป็นพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยที่อยู่เคียงคู่ดูแลทุกข์สุขของพสกนิกรตลอดมา
ช้างเผือกบนธงราชนาวีและอากรช้างรุ่นแรก
เรือกับธงประจำเรือเป็นของคู่กัน เรือชักธงเพื่อให้รู้ว่าเรือนั้นเป็นเรือสัญชาติอะไร ธงบนเรือจึงมีความสำคัญมากในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตราพระราชบัญญัติ ว่าด้วยแบบอย่างธงชาติสยาม ร.ศ.๑๑๐ ได้เรียกธงราชนาวีใหม่ว่า “ธงช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น” ธงนี้ใช้สำหรับชักที่ท้ายเรือพระที่นั่งและเรือรบหลวง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อตามพระราชบัญญัติฉบับใหม่เป็น “ธงเรือหลวง” ลักษณะของธงยังคงเหมือนเดิมแต่ไม่มีจักรสีขาวที่มุมธง ธงราชนาวี
ในปี ๒๔๕๓ มีการเปลี่ยนชื่อจาก “ธงเรือหลวง” ไปเป็น “ธงทหารเรือ” โดยมีเพิ่มรูปสมอไขว้กับกงจักรภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎสีเหลืองที่มุมธงข้างหน้าช้าง จนสุดท้ายในปี ๒๔๖๐ ได้เปลี่ยนแปลงจาก “ธงทหารเรือ” เป็น “ธงราชนาวี” มีลักษณะเหมือนธงไตรรงค์ แต่ตรงกลางมีวงกลมสีแดง ภายในมีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น
สำหรับอากรแสตมป์ หรือฤชาอากร เป็นดวงตราที่ใช้ติดบนเอกสาร เพื่อแสดงว่าได้ชำระอากรค่าธรรมเนียมต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คล้ายๆ กับที่ใช้แสตมป์ติดจดหมาย เพื่อแสดงว่าได้ชำระค่าส่งจดหมาย หรือไปรษณีย์ภัณฑ์ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฤชาอากร สำหรับดวงที่มีราคาสูงๆ มักใช้สำหรับติดค่าธรรมเนียมของศาล หรือเอกสารเกี่ยวกับที่ดิน หรือสัญญาต่างๆ ฤชาอากรแสตมป์นี้มีใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว แต่ฤชาอากรที่เป็นรูปช้างสามเศียรมีใช้เป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๖ ในราวปี ๑๙๑๕ แต่เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นดวงที่ผ่านการใช้ ขีดฆ่าประทับตราแล้ว ราคาจึงไม่สูงนัก แต่ถ้าหากเป็นแบบที่ยังไม่ได้ใช้จะหายากและมีราคาสูงมาก ราคาหน้าดวงมีหลายชนิดราคาตั้งแต่ ๑ สตางค์ ไปจนถึงราคา ๘๐ บาทเลยทีเดียว
ผู้ที่สนใจติดตามอ่านบทความเรื่องของเหรียญรุ่นต่างๆ ได้ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ Siamcoin หรือ www.siamcoin.com ติดต่อกันได้ ด้วยไลน์ ไอดี: @siamcoin หรือทาง ยูทูบ ช่อง Siamcoin