ไลฟ์สไตล์

สัมผัสเสน่ห์เมือง‘ชิงเต่า’

สัมผัสเสน่ห์เมือง‘ชิงเต่า’

10 มี.ค. 2559

ศิลปวัฒนธรรม : สัมผัสเสน่ห์เมือง ‘ชิงเต่า’ ผ่านอ้อมกอดของขุนเขาและชายทะเล : ภาพ / ภานุวัฒน์ เอื้อชนานนท์

 
      การเดินทางไปยังที่ต่างๆ ในยุคสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งมีสายการบินเปิดขึ้นมากมาย ตัวเลือกในการเดินทางยิ่งง่ายมากขึ้นตาม แถมราคาตั๋วเครื่องบินก็ไม่ต้องคิดมาก นั่งรถทัวร์บางครั้งยังแพงกว่าจองตั๋วเครื่องบินสักเที่ยว เฉกเช่นล่าสุดสายการบิน “นกสกู๊ต” เปิดเที่ยวบินใหม่ “กรุงเทพฯ (ดอนเมือง)-ชิงเต่า (จีน)” ที่ในหนึ่งสัปดาห์เปิดบินถึง 4 เที่ยวบินและในขากลับกันจากชิงเต่ามาเมืองไทยมี 5 เที่ยวบินต่อสัปดาห์กันทีเดียว
 
      นั่นเองจึงเป็นเหตุให้เราได้ไปสัมผัสเมืองทรงเสน่ห์ที่ได้รับการกล่าวขานก่อนเดินทางว่า ไปเมืองชิงเต่าเหมือนเดินเล่นอยู่ในยุโรปสักเมืองที่เงียบสงบ หลังเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ที่สนามบินเต่าหลิ่วถิง อินเตอร์เนชั่นแนล เดินออกจากตัวเครื่องสัมผัสแรกคืออากาศที่หนาวเย็น ด้วยช่วงทีไปนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวของเมืองนี้ อุณหภูมิสูงสุดเพียง 11 หรือ 12 องศาเซลเซียล ต่ำสุดก็ติดลบกันไป และจะให้ร้อนสุดๆ ก็อยู่เพียง 20 กว่าๆ ถือว่าเป็นเมืองที่อากาศดีตลอดปี เพียงเรื่องอากาศก็ทำให้ตัดสินใจอยากไปสัมผัสกันแล้ว
 
      เมืองชิงเต่า ตั้งอยู่ในมณฑลซันตง ซึ่งเป็นมณฑลชายฝั่งทะเลทางภาคตะวันออกของประเทศจีน และเป็นพื้นที่ปากแม่น้ำหวงเหอที่ไหลลงสู่ทะเลป๋อไห่ เมืองนี้อยู่ในอ้อมกอดของทะเลและภูเขา ประกอบกับประวัติศาสตร์เมื่อกว่า 60 ปีที่ผ่านมาเคยตกเป็นเมืองขึ้นของเยอรมนีในอดีต สภาพบ้านเมืองจึงมีกลิ่นอายของความเป็นยุโรปอยู่มากด้วยความที่บรรยากาศ สภาพแวดล้อม ตึกรามบ้านช่อง มีสไตล์ยุโรปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลังคาแดง ต้นไม้เขียว ด้วยชาวเยอรมันสมัยนั้นมายึดครองต่างสร้างบ้านพักที่มุงหลังคากระเบื้องสีแดงทั้งหมด พร้อมกับปลูกต้นไม้นานาชนิดทั้งต้นเมเปิล ต้นสน ต้นเก๋ากี้ และอีกมากมาย ทุกมุมเมืองจึงเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เพียงแต่เราไปเป็นหน้าหนาวต้นไม้เขียวที่ให้เห็นคือต้นสนที่โต้ลมหนาวได้อย่างอดทน
 
      ตื่นเช้ามาพร้อมกับลมหนาวกับการเดินทางไป “วัดจ้านซาน” วัดชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง มีเจดีย์ 7 ชั้นแบบจีนตั้งตระหง่านอยู่ริมเขามีอายุกว่า 70 ปี ต่อกันที่ “พิพิธภัณฑ์ที่ทำการเก่าของประเทศเยอรมนี” หรือทำเนียบผู้ว่าเยอรมัน ที่สร้างโดยสถาปนิกของประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ.1905 และสร้างเสร็จในปี 1908 โดยหินแกรนิตทุกก้อนและเครื่องประดับทุกชิ้นนั้นส่งตรงมาจากเยอรมันทั้งหมด รวมลักษณะของอาคารโดยเฉพาะห้องทำงานและห้องนอนของผู้ว่าการเยอรมันความหนาของผนังนั้นเกือบเมตรกันทีเดียว ที่หนาขนาดนี้เพราะป้องกันกระสุนที่จะยิงถล่มเข้ามานั่นเอง การก่อสร้างเป็นสไตล์ยุโรปทั้งหมด จนในช่วงหลังที่ระบบคอมมิวนิสต์ของประเทศจีน ผู้นำหลายคนของจีนที่มาพักที่นี่ในบางครั้งก็จะนำเฟอร์นิเจอร์ของจีนมาใช้บ้างเป็นบางชิ้น แต่ทั้งหมดนั้นยังเป็นของเก่าที่ยุคเยอรมันครองเมืองแทบทั้งสิ้น
 
      แน่นอนว่าเมื่อเยอรมันครองเมือง การกินอยู่จึงเป็นแบบเยอรมันนั่นจึงตามมาด้วย และนั่นก็เป็นการถือกำเนิดโรงเบียร์เยอรมันที่ใช่ชื่อว่า “เบียร์ชิงเต่า” ที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ และถือเป็นเบียร์ 1 ใน 3 ของจีนที่ส่งออกไปขายกว่า 70 ประเทศทั่วโลก จุดเริ่มต้นของโรงเบียร์แห่งนี้ ต้องนับย้อนไปเมื่อปี ค.ศ.1903  โดยใช้เทคโนโลยีการหมักบ่มและวัตถุดิบจากประเทศเยอรมนี กิจการของพวกเขาดำเนินไปได้ 13 ปี ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 โรงงานผลิตเบียร์แห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนมือไปเป็นของทหารญี่ปุ่นอีก 29 ปี และเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงงานผลิตเบียร์ไดนิปปอน คอร์เปอเรชั่น” หลังจากนั้นเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม การกลับมามีชีวิตใหม่ของโรงเบียร์ชิงเต่าเมื่อปี 1949 ทหารกองทัพปลดปล่อยแห่งพรรคคอมมิวนิสต์มีชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋งในเมืองชิงเต่า และยึดโรงเบียร์แห่งนี้เป็นวิสาหกิจของรัฐอย่างเต็มตัว ซึ่งมีกิจการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 1959 ศักยภาพทางการผลิตก็เริ่มทะลุ 10,000 ตัน ถัดมาในปี 1963 ได้รับยกย่องให้เป็นเบียร์แห่งชาติยี่ห้อเดียวของจีน เป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมนี้บนแผ่นดินใหญ่เรื่อยมาจนทุกวันนี้ บริเวณโดยรอบของโรงงานเบียร์ชิงเต่าก็เป็นถนนแห่งเบียร์โดยเฉพาะในหน้าร้อนนั้นผู้คนจะคึกคัก เดินกันแน่น ซึ่งระหว่างที่เราเดินชมโรงงานเบียร์อยู่นั้นในตั๋วค่าเข้าชมได้รวมเบียร์แก้วใหญ่ให้เราได้ลองชิม ทั้งเบียร์ที่ต้มเสร็จใหม่ที่ยังไม่ผ่านการกรอง จนมาถึงด่านสุดท้ายกับเบียร์พร้อมบรรจุขวดที่เชื่อแน่ว่าคอเบียร์ได้เพลิดเพลินกันละครานี้...อ้อเข้ามีถั่วที่คล้ายๆ ถั่วโก๋แก่บ้านเราให้ชิมและถือว่าเป็นของฝากประจำเมืองนี้อีกอย่างนอกจากเบียร์ด้วยนะ
 
      ตื่นเช้าอีกวันคราวนี้ไปเที่ยว “ภูเขาเหลาซาน” อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงของซานตง และยังมียอดเขาสูงสุดในบรรดาภูเขาที่กระจายตามชายหาดของจีน มีความสูงกว่าน้ำทะเล 1,133 เมตร โดยมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะเป็นภูเขาเทวดากลางทะเล และภูเขาเลื่องชื่อของศาสนาเต๋า จึงมีอารามของศาสนาเต๋าหลายแห่งอยู่กลางป่าสนอันเก่าแก่เกือบ 2,000 ปี จึงเคยเป็นสถานที่เผยแพร่ศาสนาเต๋าที่สำคัญของจีนและภายในอารามก็มีต้นไม้โบราณที่มีอายุยืนยาวกว่า 100 ปีจนถึง 1,000 ปี จุดสำคัญของการชมความงดงามของภูเขาแห่งนี้คือ หินที่มีรูปร่างสวยและแปลกตา เหมือนรูปคนและรูปสัตว์ จึงเปรียบเสมือนเป็นที่ประทับของเทวดา และที่เหลาซานนี้ยังเป็นแหล่งน้ำพุธรรมชาติที่มีความสะอาด ด้วยเกิดจากแร่ธาตุหลายชนิดที่มีคุณค่าทางโภชนาการจนทำให้กลายเป็นที่ต้องการและมีราคาสูง สำคัญยังใช้ในการผลิตเบียร์เพียงสังเกตจากฝาขวดเบียร์ถ้ามีเลข 1 หรือ เลข 6 นั้นคือการนำน้ำแร่ที่มีคุณภาพมาใช้ในการผลิต (ขึ้นอยู่กับที่ตั้งของโรงงาน) และใกล้ๆ กันนี้ก็มี “แม่น้ำปาสุยเหอ” ซึ่งเป็นจุดรวมของแม่น้ำเล็กๆ  8 สายไหลมารวมกัน แต่ด้วยระหว่างที่เราไปเป็นช่วงหน้าหนาวน้้ำแห้ง ประกอบกับทางเจ้าหน้าที่กำลังปรับปรุงทางเดินขึ้นจึงปิดทางขึ้นไปชมชั่วคราว
 
      แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเพราะที่ต่อไปที่เราไปเยือนคือ “จุดชมวิวหลิงเตี่ยน” ที่ตั้งอยู่ที่สโมสรหยินไห่ต้าสื้อเจ้ อยู่ทางตะวันออกของอ่าวฝูซานวานของเมืองชิงเต่า ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ พร้อมกับที่จอดเรือยอชท์ของเศรษฐีชาวจีน ด้วยเมืองชิงเต่าถือเป็นเมืองท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญและคึกคักมากในช่วงหน้าร้อน และในจุดชมวิวนี้เพียงเดินทางเข้ามาถึงจะเห็นรูปปั้นเจ้าแม่ทับทิมเด่นสะดุดตา ในขณะที่รอบๆ ก็เป็นรูปปั้นของนักเดินเรือคนดังๆ ของโลกและนักเดินเรือคนดังของจีนคือ “เจิ๋งเหอ” ที่ล่าสุดได้รับการยอมรับว่าเป็นคนแรกที่ค้นพบอเมริกาก่อนโคลัมบัส สำคัญยังเป็นที่ตั้งของจุดวัดระดับน้ำทะเลเป็นศูนย์จองประเทศจีนด้วย สถานที่นี้จึงเป็นจุดชมวิวที่เป็นที่นิยม
 
      มาเมืองชิงเต่าถ้าไม่ได้มา “สะพานจ้านเฉียว” ถือว่ามาไม่ถึง ด้วยเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ซึ่งบนฉลากของเบียร์ชิงเต่าก็มีรูปสะพานนี้ โดยสร้างขึ้นในค.ศ. 1891 สมัยราชวงศ์ชิง มีความยาว 440 เมตร กว้าง 10 เมตร ยื่นไปในทะเลโดยมีนกนางนวลบินล้อลมทะเลโฉบกินปลาอย่างคึกคัก แต่ตอนเราไปถึงหมอกลงหนาจัด ความสวยงามจึงไม่เต็มที่ แดดมาชั่วแป๊บให้เราได้ลั่นไกชัตเตอร์แล้วก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกอีกครา แต่เมื่อหมอกปกคลุมทำให้เราหันไปหาตัวเมืองที่สร้างความตื่นตา จนหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพบ้านเรือนข้างหลังเราคือจีนจริงหรือ เพราะความแตกต่างของบ้านเรือนต่างเป็นตึกสไตล์ยุโรป มีโบสถ์ของศาสนาคาทอลิกที่ถือว่ายอดโบสถ์สูงที่สุดกว่า 6 เมตร ที่สะกดสายตาเราได้อย่างอยู่หมัด พร้อมกับความคึกคักกว่า 10 คู่ที่ฝ่าลมหนาวอันเยือกเย็นมาถ่ายภาพเวดดิ้งกันอย่างเปี่ยมสุข จนเมืองชิงเต่าถือว่าเป็นเมืองอันดับๆ ต้นติด1 ใน 3 ที่เป็นสถานที่ยอดฮิตของว่าที่บ่าว-สาวที่ต้องมาถ่ายภาพแต่งงานกัน รวมทั้งมีภาพยนตร์ทั้งจีนและต่างประเทศหลายเรื่องเคยใช้เมืองชิงเต่าเป็นสถานที่ถ่ายทำ
 
      และอีกหนึ่งที่ “เสี่ยวอี้ซาน” จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นชิงเต่าได้ 360 องศา เห็นบ้านเรือนหลากสไตล์ในแบบยุโรปที่มีหลังคาสีแดงทุกหลัง เห็นวิวท้องทะลที่กว้างสุดสายตา ทำเอาหลายคู่รักเพลิดเพลินเปิดใจบอกรักกันอย่างโรแมนติก เมืองชิงเต่าจึงถือเป็นอีกเมืองที่น่าท่องเที่ยวแบบไม่พลุกพล่าน “จัตุรัส 54 ” หรือ May Fourth Square หรือ อู่ซื่อกว๋างฉ่าง เป็นจตุรัสใจกลางย่านธุรกิจของเมืองชิงเต่า มีอนุสาวรีย์รูปทรงสายลม 5 สายสีแดงพัดผ่านวนเวียนกันเรียกว่า “อู่เย่ว์เฟิง” หรือ สายลมเดือนพฤษภา ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหรือจุดถ่ายรูปที่คุณพลาดไม่ได้
 
      “ปาต้ากวน” สถานที่พักอาศัยที่สวยงามเต็มไปด้วยบ้านพักของชาวเยอรมันที่มาปลูกสร้างสมัยที่มายึดเมือง จึงมีปราสาทหินแกรนิตที่สวยงาม รวมถึงปราสาทของเจ้าหญิงเดนมาร์กที่มาพักอาศัยในช่วงหนึ่ง รวมไปถึงบ้านเรือนสไตล์ยุโรปที่ปัจจุบันเป็นถิ่นที่อยู่ของมหาเศรษฐีชาวจีนและถือเป็นสถานที่ที่ราคาที่ดินสูงมากแห่งหนึ่งของจีนด้วย ที่น่าสนใจอีกอย่างในปาต้ากวนบนถนนสายหลักจะมีการปลูกต้นไม้ชนิดเดียวกันทั้งสายและจะแตกต่างกับอีกสายหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดเจน อย่างถนนเส้นหนึ่งปลูกต้นสนก็จะเป็นต้นสนเรียงยาวกันไป ในขณะที่เส้นตรงกันข้ามปลูกเมเปิลก็จะมีแต่เมเปิลให้เห็น โดยในฤดูใบไม้ถนนเส้นที่ปลูกเมเปิลจะไม่มีการกวาดใบไม้ ถนนเส้นนั้นจึงเหลืองสวยทั้งเส้นกันเลย
 
      อ้อเกือบลืมไป...ด้วยชิงเต่าเป็นเมืองติดทะเล อาหารทะเลสดๆ มีให้เลือกทานกันได้อร่อยปากกันทุกมื้อ แต่อย่างไทยๆ เราติดน้ำจิ้มซีฟู้ดไปสักขวด รับรองว่าอร่อยเพลินกันทุกมื้อทีเดียวค่ะ...