ไลฟ์สไตล์

ครุฑ สัตว์หิมพานต์'ดุษฎีนิพนธ์'จากศิลปะสู่วัตถุมงคล

ครุฑ สัตว์หิมพานต์'ดุษฎีนิพนธ์'จากศิลปะสู่วัตถุมงคล

05 มี.ค. 2559

ครุฑ สัตว์หิมพานต์'ดุษฎีนิพนธ์'จากศิลปะสู่วัตถุมงคล : พระองค์ครู เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

           ครุฑ เป็นสัตว์กึ่งเทพในปกรณัมอินเดียและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์ มหาภารต เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคและทะเลาะกันจนเป็นศัตรู นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าพญาครุฑ

           ตามคติไทยโบราณเชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนก และเป็นพาหนะของพระนารายณ์ ปกติอาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “สุบรรณ” ซึ่งหมายถึง “ขนวิเศษ”

           คนไทยผู้ที่ชื่นชอบและศรัทธาในวัตถุมงคล “พญาครุฑ” มีไม่น้อยที่สะสมเอาไว้เป็นเครื่องรางป้องกันภยันตรายให้แก่ตัวเองที่คุ้นเคยกันดีก็คงหนีไม่พ้นครุฑของ “หลวงพ่อวราห์” แห่งวัดโพธิ์ทอง หรือครุฑ “หลวงพ่อเส็ง” วัดบางนา เป็นต้นและในพ.ศ.นี้ ครุฑที่กำลังมาแรงและได้รับการถามไถ่จากนักสะสมจำนวนไม่น้อยก็คือ "ครุฑ" ที่เกิดจากการรังสรรค์จาก “ดุษฎีนิพนธ์” ปริญญาเอกเรื่อง “สัตว์หิมพานต์” ของ "รศ.ดร.สุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์” อาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ซึ่งเป็นศิลปินรุ่นใหม่ซึ่งมีชื่อเสียงอันเป็นที่ยอมรับของทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ

           โดยส่วนตัวแล้ว รศ.ดร.สุวัฒน์ เป็นคนที่ชอบเรื่องสัตว์หิมพานต์ ทั้งนี้ได้แต่งตำรา เรื่องสัตว์หิมพานต์ ๒ เล่ม แล้ว thesis ปริญญาเอกก็ทำเรื่องสัตว์ผสมข้ามสายพันธุ์ในป่าหิมพานต์ คือเราสืบค้นว่าในอดีตมีสัตว์ผสมข้ามสายพันธุ์เกิดขึ้นมากมาย เช่น อียิปต์ก็มีคนผสมกับนก เปอร์เซียก็มีคนมีหัวเป็นสิงโต หรือว่าสิงโตผสมกับวัวแล้วมีปีก แล้วเราก็เรียนรู้ว่าในลุ่มอารยธรรมของเอเชียก็มีเช่นกัน จีนก็มีมังกรที่มีสัตว์ผสม ๕ ชนิด เข้าด้วยกัน ประเทศเพื่อนบ้าน ลาว เขมร พม่า ก็มีสัตว์ผสมข้ามสายพันธุ์ แต่ในบ้านเราเรียกว่าสัตว์หิมพานต์ตามคติของไตรภูมิ

           รศ.ดร.สุวัฒน์ เริ่มต้นทำงานครุฑตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๗ จากนั้นก็ทยอยทำลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ โดยเหรียญครุฑที่ออกมารุ่นแรกมีชื่อว่า “ครุฑพยัญชนะ” ซึ่งมีทั้งหมด ๔๔ ตัว แต่เป็นการจัดสร้างเป็นการภายในสำหรับผู้ที่ชื่นชอบผลงานศิลปะ จากนั้นก็มาออกรุ่นที่สองชื่อว่า “ครุฑมวลสาร” โดยมี ๒ สี คือ สีเขียวและสีแดง

           เมื่อ รศ.ดร.สุวัฒน์ เปิดตัว “ครุฑพยัญชนะ” ก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างมาก มีคนจองหมดภายในไม่ถึงข้ามวัน นอกจากครุฑมวลสารแล้ว ในคราเดียวกันก็ออก “ครุฑมหาเมตตา” หรือ “ครุฑกระดุม” ขึ้นมาอีกชุด และจะถือว่าเป็นรุ่นเดียวกับครุฑมวลสารก็ว่าได้ ซึ่งก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน

           กว่าจะออกมาเป็นแบบอย่างที่เห็น รศ.ดร.สุวัฒน์ ต้องไปดูครุฑในหลากหลายที่ไม่ว่าจะเป็นของหลวงพ่อวราห์ หลวงพ่อเส็ง ไปดูครุฑที่โขนเรือนารายณ์ทรงสุบรรณ ไปดูโขนเรือครุฑ ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา แล้วนำมาออกแบบเพื่อทำให้ครุฑที่ออกมาเป็นครุฑที่ ทรงพลัง มีกล้ามเนื้อปีกทั้งสองข้างจะเป็นดอกบัวที่พวยพุ่งขึ้นไปปีกละ ๔ ดอก รวมสองข้างเป็น ๘ ดอก ซึ่งหมายถึง ๘ ทิศ ที่องค์พญาครุฑแผ่อำนาจออกไป

           ครุฑทุกรุ่นที่ รศ.ดร.สุวัฒน์ รังสรรค์มาไม่เพียงสวยงามในทางศิลปะเท่านั้น แต่ต้องเข้มขลังในเรื่องของพุทธคุณ โดยต้องหล่อในวันพระ หล่อในคืนเดือนเพ็ญโดยตั้งจิตอธิษฐาน ที่สำคัญคือใช้น้ำมนต์จาก ๗ วัดดังทั่วประเทศในการหล่อ ไม่ใช่น้ำธรรมดา เหมือนภาพวาดซึ่งใช้น้ำมนต์ในการผสมสี โดยคิดว่าสิ่งที่เราทำจะเป็นมงคลต่อคนที่ได้รับไป

           นอกจากนี้แล้วความเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง คือ ครุฑทุกรุ่นจะมีพระพุทธเจ้าประทับอยู่เหนือเศียร ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่คนอื่นไม่มี มีนัยว่าความดีงาม ความเป็นพุทธะจะอยู่เหนือเรื่องอิทธิฤทธิ์ เราต้องเชิดชูปัญญามากกว่าปาฏิหาริย์เพื่อให้มีสติเตือนใจแก่ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา