
ชวนเที่ยว : สุดแดนโขงเจียมที่...บ้านเวินบึก
28 ก.พ. 2559
ชวนเที่ยว : สุดแดนโขงเจียมที่...บ้านเวินบึก : เรื่อง / ภาพ ... นพพร วิจิตร์วงษ์
อุบลราชธานี จังหวัดใหญ่ในอีสานตอนใต้ แต่โดยมากนักท่องเที่ยวมาถึงก็มักจะเดินทางต่อไปยังอำเภอรอบนอก เพราะเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ โดยเฉพาะริมแม่น้ำโขงที่สวยงาม บ้างก็เดินทางต่อไปยังชายแดนที่ช่องเม็ก เพื่อข้ามไปยังประเทศลาว ซึ่งไม่กี่สิบกิโลเมตรก็ถึงเมืองปากเซ ของแขวงจำปาสักแล้ว แต่ก่อนจะผละไปจากเมืองอุบล อยากจะบอกว่ามีสถานที่ที่น่าสนใจไม่น้อย แวะเที่ยว ชิม ช็อป แล้วค่อยไปต่อที่อื่นก็ไม่น่าเสียดายเวลาแน่ๆ แม้เป้าหมายเที่ยวนี้ของเราอยู่ถึง โขงเจียม ที่ห่างจากตัวเมืองอุบลราว 120 กม. ก็ยังอดใจไม่แวะไม่ได้เช่นกัน มาครั้่งหนึ่งก็แวะเที่ยวทีละนิดละหน่อย จนต้องมาบ่อยๆ แต่ก็ยังไม่เบื่อ จะพักนอนที่เมืองอุบล บอกเลยว่า แค่โรงแรมเล็กๆ ประเภทเซลล์บริษัทต่างๆ เข้าพัก ก็ยังสะดวกสบาย กินขาดหลายจังหวัดในแถบนี้
ด้วยเวลาแค่ช่วงสายถึงบ่ายแก่ๆ ที่ได้ใช้เวลาในเมืองอุบลคราวนี้ เลยขอจัดรถรางนั่งไปเที่ยวชมวัด และย่านชุมชนเมืองอุบลแบบเบาๆ รถรางจะจอดอยู่ที่หน้า ศาลหลักเมือง อยู่ติดกับทุ่งศรีเมืองนั่นเอง
ถ้าใครมีเวลามากหน่อย ก็แวะ พิพิธภัณฑ์จังหวัดอุบลราชธานี ที่อยู่ติดกับศาลหลักเมืองได้ ตึกชั้นเดียวสีเหลืองมัสตาร์ด ตัดกับขอบสีเขียว ที่นี่เคยเป็นศาลากลางจังหวัดมาก่อน พอสร้างหลังใหม่ ก็ยกสมบัติให้ตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรวบรวมของเก่าจากหลายๆ อำเภอมาไว้ที่นี่ ทั้งพระพุทธรูปสมัยก่อน ชิ้นส่วนวิหารร้าง และเทพ ที่ฉันต้องตาต้องใจดูอยู่เป็นนาน ก็คือ อรรธนารีศวร ในลัทธิไศวนิกาย ครึ่งขวามีลักษณะเป็นบุรุษ และอีกครึ่งเป็นสตรี ซึ่งเป็นภาคผสมระหว่างพระศิวะซีกขวา (ลักษณะเป็นบุรุษ) กับพระอุมาซีซ้าย (ลักษณะเป็นสตรี) คาดว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 13 ใครอยากเห็นต้องไปดู
ออกจากหน้าศาลหลักเมือง แวะไปทางไกลก่อน ที่วัดพระธาตุหนองบัว หรือวัดหนองบัว อาจจะเป็นวัดใหม่เมื่อเทียบกับอีกหลายๆ วัดในเมืองอุบล หากแต่ความใหญ่โตและสวยงาม ทำให้กลายเป็นแลนด์มาร์กของเมืองอุบลไปแล้ว
วัดหนองบัว เป็นวัดราษฎร์ นิกายธรรมยุต โดดเด่นที่พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ครบรอบ 25 ศตวรรษของพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2500 โดยจำลองแบบมาจากเจดีย์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุเจดีย์ที่เห็นในปัจจุบันเป็นองค์ใหม่ สร้างเสร็จในปี 2512 ใหญ่กว่าองค์เดิมหลายเท่านัก เพราะมีฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 17 เมตร สูง 56 เมตร เป็นการสร้างครอบองค์เดิม ที่มีฐานกว้างด้านละ 5 เมตร สูงประมาณ 17 เมตร ด้านหลังเป็นวิหาร และศาลาการเปรียญ มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่ อีกทั้งยังมีภาพจิตกรรมฝาผนังที่สวยงาม บริเวณที่ตั้งร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่
จากวัดหนองบัว แวะไป วัดทุ่งศรีบุญเรือง ไม่ไกลจากทุ่งศรีเมือง วัดแห่งนี้มีโบราณสถานที่สำคัญ คือ หอพระไตรปิฎก ที่สร้างขึ้นมาพร้อมวัด และหอพระพุทธบาทหรืออุโบสถ ในราวปี 2385 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่3) โดยญาคูช่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ชาวเวียงจันทร์ เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง ลักษณะเป็นเรือนฝาไม้ประกบแบบเรือนไทยภาคกลาง บานประตูและหน้าต่างเขียนลายรดน้ำ ภายในทำเป็นห้องสำหรับเก็บพระไตรปิฎก และใบลาน ผนังห้องเขียนลายรดน้ำเช่นเดียวกัน ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโนราณสถานแห่งชาติไว้แล้ว บ่ายคล้อยถึงได้ออกเดินทางจากตัวเมืองอุบลราชธานี ไปเก็บแสงยามเย็น และชมความงามในพลบค่ำของวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ซึ่งวัดนี้มาตอนไหนก็สวย แต่ถ้าเป็นตอนค่ำจะได้เห็นต้นโพธิ์เรืองแสงที่ประดับอยู่ด้านหลังวัด เจ้าหน้าที่ที่ดูแลบอกว่า ตอนทำนั้นมีการใส่เศษพลอยเข้าไปด้วย ทำให้เกิดเรืองแสง
วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ตั้งชื่อตามชื่ออำเภอและภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งวัดบวกกัน ชาวบ้านจะเรียกกันสั้นๆ ว่าภูพร้าว รอบวัดด้านหนึ่งเห็นอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิรินธร อีกด้านหนึ่งเห็นถึงด่านช่องเม็ก และภูมะโรงฝั่งลาว แต่พอตกค่ำก็มืดสนิทเหมือนกันจะมีแสงไฟก็เพียงบริเวณองค์พระประธาน
วัดนี้สร้างมา 10 กว่าปีแล้ว แต่ยังเก็บรายละเอียดทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ ใครไปล่าสุดอาจจะได้เห็นลานด้านหลังเป็นลวดลายสายน้ำกันแล้ว
จากวัดภูพร้าวเขาไปหาที่พักในตัวเมืองโขงเจียมก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าให้ดีควรจองไปก่อน เห็นเมืองเล็กๆ ไกลๆ แบบนี้ อาจจะเกิดปรากฏการณ์ที่พักเต็มได้นะ ยิ่งถ้าไปกลางค่ำกลางคืนด้วย จะยิ่งลำบากทั้งหาของกินและที่พักได้ แม้จะมีร้านสะดวกซื้อที่เปิดทั้งคืนอยู่ในตลาดก็เถอะ ไหนเลยจะอร่อยสู้ต้มยำปลาคัง หรือปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียมได้ล่ะ

โขงเจียม เมืองเล็กๆ ริมฝั่งโขง ที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยขึ้นอยู่กับแขวงจำปาสัก ก่อนจะมาขึ้นอยู่กับเมืองเขมราฐ พอเมืองเขมราฐมีฐานะเป็นอำเภอขึ้นอยู่กับเมืองอุบลราชธานี โขงเจียมก็เป็นอำเภอขึ้นอยู่กับอุบลราชธานีด้วย
และแม้โขงเจียมจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญมากมาย ช่วงหลายฝนต้นหนาวก็จะมีแหล่งน้ำตกสวยๆ หลายแห่ง หน้าแล้งก็มีเกาะแก่งริมโขง และที่สำคัญคือภาพเขียนสีโบราณที่ผาแต้ม มาเมื่อไหร่ก็เที่ยวได้เมื่อนั้น ตอนนี้ภาพเขียนสีก็ยังอยู่ดี แถมพกด้วยสภาพของดอกไม้ดินบริเวณลานผาแต้ม ถ้าเป็นช่วงฝนก็อาจจะได้เห็นทุ่งดอกไม้ดิน มาหน้าแล้ง ก็ยังมีดอกไม้หน้าแล้ง แข่งกันออกดอก ไม่ให้ทั่วบริเวณร้อนแล้งตามสภาพอากาศไปด้วย
ในมุมยอดฮิต ที่ใครๆ ก็อยากมาดูคำที่เขาว่า “โขงสีปูน มูลสีคราม” ก็ต้องไปที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ที่อยู่ไม่ไกลตัวเมืองนัก พี่ยักษ์-สุพัฒน์ สมเสนาะ ไกด์เมืองโขงเจียมเล่าว่า จุดนี้มองเห็นแม่น้ำโขง และแนวเทือกเขาพนมดงรักภูเขารอยต่อประเทศไทย ป่าดงขี้ยาง ที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ แล้วยังมองเห็นภูเขาลูกใหญ่เหมือนขวางอยู่กลางน้ำโขง ที่เรียกกันว่า ภูกลางเฮือน ส่วนด้านหลังภูเขาป่าดงขี้ยาง เป็นเส้นทางหมายเลข 13 ไปถึงนครเวียงจันทน์ของลาว ส่วนเว้งเล็กๆ ที่เห็นอยู่ไกลลิบเลยไปสุดสายตายังมองเห็นบ้านเวินบึก หมู่บ้านสุดท้ายที่แม่น้ำโขงไหลผ่านก่อนอ้อมโค้งเขา เข้าประเทศลาวไป
บ้านเวินบึก อยู่ห่างจากตัวอำเภอโขงเจียมประมาณ 8 กม. อยู่ตรงข้ามกับบ้านชนะสมบูรณ์ ของลาว คำว่าเวินหมายถึงเวิ้งอ่าว สายน้ำไหลวน บึกก็หมายถึงปลาบึก เพราะที่นี่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาบึกจำนวนมาก ที่สำคัญคือเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่มีคำขวัญประจำหมู่บ้าน คือ ต้นสักใหญ่ ไทรคู่งาม วังน้ำวน ชนเผ่าบรู รวมหมู่มัจฉา ภาษา และวัฒนธรรม และทุกวันนี้ ทั้ง 4 สิ่งยังอยู่คู่บ้านเวินบึก
ยืนมองสายน้ำโขง อยู่ตรงศาลา ฝั่งบ้านชนะสมบูรณ์ ยังเป็นแนวต้นไม้หนาแน่น ฝั่งเรามีเรือไม้เข้าจอดเทียบตลิ่งเป็นทิวแถว ในยามเว้นว่างจากการประมง บ้างก็ซ่อมเรือและเครื่องมือหากิน บ้างก็มาทำจักสานโดยเฉพาะหวดข้าวเหนียว กลายเป็นสินค้าส่งออกของบ้านเวินบึกไปแล้ว
ชื่อของชนเผ่าบรูเราอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อกันนึก ชนเผ่าบรู จัดอยู่ในตระกูลข่า อพยพมาจากตอนเหนือของลาว จนถึงแม่น้ำสะวัชลิวิง และต้องเลิกนับถือผีเจียวที่เป็นเขตของชนชาติลาว ก่อนจะอพยพลงมาถึงบ้านลาด ปัจจุบันอยู่ในแขวงจำปากสัก ช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองลาว ชนเผ่าบรูสูญเสียอิสระภาพ ต้องจ่ายภาษี ไม่มีเงินจ่ายก็ต้องใช้แรงงานแทน ชนเผ่าบรูจึงอพยพข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทยในปี 2457 มีอยู่ 6 ครอบครัว ก่อนจะอพยพตามกันมา กลายเป็นหมู่ี่บ้านเวินบึกในปัจจุบัน
นอกจากภาษาไทย ลาว แล้ว ยังมีภาษาบรู ของพวกเขาเองอีกด้วย มีผู้นำทางกฎหมายคือผู้ใหญ่บ้าน ส่วนเจ้าละโบ เป็นผู้นำทางศาสนา ในยามเว้นว่างจากการประมง ก็มาทำจักสานโดยเฉพาะหวดข้าวเหนียว กลายเป็นสินค้าส่งออกของบ้านเวินบึกไปแล้ว
อีกหนึ่งตำนานหมู่บ้านริมโขง ดูเผินๆ ก็ธรรมดาแต่ถ้ามองถึงรากเหง้าแล้ว พวกเขายังมั่นคงในการรักษาวัฒนธรรมของชนเผ่าบรูอย่างเหนียวแน่น
-------------------------
(ชวนเที่ยว : สุดแดนโขงเจียมที่...บ้านเวินบึก : เรื่อง / ภาพ ... นพพร วิจิตร์วงษ์)