ไลฟ์สไตล์

ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก

ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก

28 ก.พ. 2559

หลากมิติเวทีทัศน์ : ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก 'ชุมชนเข้มแข็ง กินอิ่ม นอนอุ่น ทุนมี หนี้ลด' : โดย...พนากิจ มูลเมือง

 
                      “ตาผุยชุมแพ” อาจจะเป็นชื่อที่คุ้นหูของคอเพลงเพื่อชีวิตเมื่อราว 20 ปีก่อน หรือหากเป็นคอหนังไทยแนวบู๊ประเภท “ระเบิดภูเขา เผากระท่อม” ก็ต้องเคยดูหนังเรื่อง “ชุมแพ”
 
                      แต่ “ชุมแพ” จ.ขอนแก่น ในวันนี้ไม่มีภาพของบ้านป่าเมืองเถื่อนอีกแล้ว เพราะชาวชุมแพในวันนี้ได้ช่วยกันสร้างบ้านแปงเมืองและพัฒนาชุมชน จนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจชุมชน อาทิ การสร้างบ้านมั่นคงของชาวชุมชนในเขตเทศบาล 13 ชุมชน กว่า 900 หลัง การระดมทุนซื้อที่ดินเพื่อทำนารวมในเนื้อที่ 38 ไร่ การสร้างโรงงานผลิตน้ำดื่มของชุมชนที่มียอดขายเดือนละ 2.5 แสนบาท ฯลฯ จนทำให้คนระดับรัฐมนตรีต้องนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ เพื่อมาเยี่ยมชมความสำเร็จของชาวชุมแพในวันนี้
 
                      ป้าสนอง รวยสูงเนิน หญิงแกร่งแห่งเมืองชุมแพ อายุ 60 ปี เล่าว่า เดิมครอบครัวมีรกรากและที่นาอยู่ที่ จ.ชัยภูมิ แต่ทนความแห้งแล้งและยากจนไม่ไหวในปี 2519 จึงบากหน้ามาหากินที่ชุมแพ เพราะเป็นเมืองใหญ่ ตอนแรกก็บุกรุกที่หลวงปลูกบ้านหลังเล็กๆ ต่อมาเทศบาลได้มาขับไล่ จึงไปอาศัยห้องเช่าเล็กๆ ที่อุดอู้เพราะไม่มีหน้าต่างเป็นที่ซุกหัวนอน ค่าเช่าเดือนละ 600 บาท แล้วเอาทุนรอนที่มีติดตัวอยู่ไม่มากมาซื้อผักซื้อปลาจากชาวบ้านแล้วเอาไปขายในตลาดสด
 
 
ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก
 
 
                      ทำอย่างนี้อยู่หลายปี จนมีครอบครัวมีลูกเต้า จึงต้องขยับขยายจากห้องเช่ามาเป็นบ้านเช่าที่ใหญ่กว่าเดิม แต่ก็ยังเช่าคนอื่นอยู่เพราะไม่มีเงินเก็บพอจะหาซื้อบ้าน จะกู้ธนาคาร คนจนอย่างแกใครเขาจะเห็นหัว ครั้งสุดท้ายที่เช่าบ้านราคาค่าเช่าก็ขยับขึ้นไปถึงเดือนละ 3,000 บาทแล้ว
 
                      “พอช่วงปี 2546 ตอนนั้นรัฐบาลเปิดให้มีการลงทะเบียนคนจน ป้าและเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในชุมแพก็ไปลงทะเบียน บอกเล่าปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องบ้านนี่แหละ เพราะต้องเช่าเขาอยู่ บางครอบครัวไม่มีค่าเช่าก็ต้องบุกรุกที่ดินหลวงปลูกบ้านหลังเล็กๆ อยู่ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า ต้องต่อพ่วงมาใช้แพงกว่าคนอื่น จึงอยากจะได้บ้านเป็นของตัวเองสักหลัง เพื่อจะได้มีที่ซุกหัวนอน ลูกหลานจะได้มีที่เรียนเป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่ต้องย้ายโรงเรียนตามบ้าน”  ป้าสนองย้อนอดีต
 
                      จากปัญหาความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยของคนยากคนจนแบบป้าสนองที่มีอยู่ทั่วประเทศ รัฐบาลในเวลานั้นจึงมีนโยบาย “บ้านมั่นคง” โดยให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ “พอช.” ดำเนินโครงการนี้ทั่วประเทศ หลักการสำคัญก็คือ ให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนมารวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหา มีการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนในการสร้างบ้าน โดยมีสถาปนิกชุมชนจาก พอช.มาร่วมออกแบบบ้านกับชาวบ้าน จัดหาที่ดินเช่าระยะยาวหรือซื้อใหม่ หลังจากนั้นจึงนำมาสู่การเสนอโครงการบ้านมั่นคงเพื่อขอใช้สินเชื่อระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำจาก พอช. แล้วจึงเริ่มก่อสร้างบ้านใหม่
 
 
ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก
 
 
                      เมื่อต้นปี 2547 ป้าสนอง จึงเป็นแกนนำรวบรวมชาวบ้าน 30 ครอบครัว จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการบ้านมั่นคง แล้วไปเจรจากับเทศบาลเมืองชุมแพเพื่อขอเช่าที่ดิน ซึ่งทางเทศบาลก็ให้การสนับสนุนชาวบ้าน โดยการแบ่งพื้นที่โรงฆ่าสัตว์ของเทศบาลซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุให้ชาวบ้านเช่าจำนวน 3 ไร่เศษ ระยะเวลา 30 ปี ในอัตราตารางวาละ 50 สตางค์ต่อเดือน พอถึงปี 2548 จึงเริ่มก่อสร้างบ้านเฟสแรก 30 หลัง ขนาด 20 ตารางวา โดยกู้เงินจาก พอช.ประมาณหลังละ 1.5 แสนบาท ผ่อนชำระคืน 15 ปี ดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี ในปีถัดมาบ้านหลังใหม่ในฝันของป้าสนองและเพื่อนบ้านก็เป็นความจริง และเพื่อความเป็นสิริมงคล ชาวบ้านจึงร่วมกันตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า “บ้านมั่นคงร่มเย็น”
 
                      ไม่เพียงแต่บ้านมั่นคงร่มเย็นของป้าสนองและเพื่อนๆ เท่านั้น ในเวลาเดียวกันคนยากคนจนในเมืองชุมแพซึ่งส่วนใหญ่มีความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยหรืออยู่ในที่ดินบุกรุก ไม่รู้ว่าจะโดนขับไล่ในวันไหน ได้ร่วมกันจัดทำโครงการบ้านมั่นคงขึ้นมา โดยมี “ป้าสนอง” เป็นกำลังสำคัญ ซึ่งจากการสำรวจในเวลานั้น มีผู้เดือดร้อนทั้งสิ้นจำนวน 1,076 ครัวเรือน จำนวน 18 ชุมชน
 
                      หลังจากนั้นชุมชนที่มีความพร้อม จึงเริ่มทยอยสร้างบ้านมั่นคงขึ้นมา โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทางเทศบาล เช่น สนับสนุนด้านสาธารณูปโภค บุคลากร และงบประมาณ จนถึงวันนี้เวลาผ่านไป 10 ปีเศษ ในเขตเทศบาลเมืองชุมแพมีชุมชนเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงแล้ว รวม 13 ชุมชน สร้างบ้านเสร็จไปแล้วจำนวน 920 หลัง
 
 
ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก
 
 
                      “อีก 2-3 ปีป้าก็จะผ่อนบ้านหมดแล้ว ป้าดีใจที่คนยากคนจนได้มีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่ต้องบุกรุกหรือเช่าคนอื่นอยู่ตลอดชีวิต แต่การทำเรื่องที่อยู่อาศัยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะการทำงานเรื่องบ้านมั่นคงเป็นงานละเอียด ต้องทำงานกับคนจน ต้องสร้างความเข้าใจเรื่องการออมเงิน ทำให้พี่น้องเห็นว่าการออมเงินจะไม่สูญเปล่า เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ของคนจนมีความหมาย การทำงานและการบริหารจัดการของคณะกรรมการต้องชัดเจน โปร่งใส ทำให้ชาวบ้านเชื่อถือ ที่สำคัญชาวบ้านจะต้องสร้างทุนของตัวเอง ไม่หวังทุนจากภายนอกเพียงอย่างเดียว”  ป้าสนอง ในฐานะประธานเครือข่ายบ้านมั่นคงเมืองชุมแพบอก
 
                      จากโครงการบ้านมั่นคง ในปี 2550 ป้าสนองและชาวชุมชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพรวม 13 ชุมชนได้ร่วมกันก่อตั้ง “กองทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยเมืองชุมแพ” โดยให้ชาวบ้านเข้าร่วมเป็นสมาชิกและสมทบเงินเข้ากองทุนทุกเดือน แล้วนำเงินกองทุนให้สมาชิกกู้ยืมหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพ ปลดหนี้นอกระบบ ซ่อมแซมบ้าน เพื่อการศึกษา ฯลฯ วงเงินไม่เกิน 5 เท่าของหุ้นสะสมที่สมาชิกมีอยู่ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6 บาทต่อปี ส่วนผลกำไรก็จะกลับคืนมาช่วยเหลือสมาชิก ปัจจุบันมีเงินกองทุนรวมประมาณ 37 ล้านบาท ทั้งนี้เทศบาลเมืองชุมแพ ได้สนับสนุนเงินเข้ากองทุนจำนวน 2 ล้านบาท และมูลนิธิศูนย์ศึกษาและพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งเอเชีย สมทบ 1 ล้านบาท
 
                      ปี 2553 ชาวชุมชนได้เล็งเห็นความมั่นคงด้านอาหาร จึงนำไปสู่การซื้อที่ดินเพื่อทำนารวมแบบเกษตรอินทรีย์ เนื้อที่ 38 ไร่ ไม่ไกลจากบ้านมั่นคงมากนัก โดยพอช.ได้สนับสนุนสินเชื่อจำนวน 2.6 ล้านบาท มีชาวบ้านลงหุ้น 150 หุ้น หุ้นละ 150 บาทเพื่อเป็นทุนในการทำนา และช่วยกันลงแรงทำนา ปัจจุบันสามารถปลูกข้าวเจ้าและข้าวเหนียวได้ปีละประมาณ 30 เกวียน ขายเป็นรายได้เข้ากองทุนปีละกว่า 2 แสนบาท ปัจจุบันที่นามีราคากว่า 38 ล้านบาท
 
                      ศรีอาน ประดา หนุ่มใหญ่วัย 47 ปี ตำแหน่ง “ผู้จัดการนา” ดูโก้หรู แต่ไม่มีเงินเดือน ทำงานนี้ด้วยใจรักเพราะเป็นเรื่องปากท้องของชาวบ้าน บอกว่า ตำแหน่งผู้จัดการนาจะต้องวางแผนในการทำนา เช่น ต้องรู้เรื่องฝนฟ้าว่าปีไหนน้ำจะมากจะน้อยจะได้วางแผนได้ถูกต้อง และต้องมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการนาจำนวน 15 คน จะหว่าน จะดำช่วงไหน จะได้ขอแรงจากชาวบ้านและสมาชิก หากเป็นช่วงแล้งก็จะให้สมาชิกปลูกมันแก้ว นอกจากนี้ก็ยังปลูกผักต่างๆ เช่น พริก ฟักทอง ข้าวโพด กล้วย ฯลฯ เลี้ยงปลาในบ่อ มีปลานิล ตะเพียน ปลาดุก และมีแผนจะขุดบ่อเพื่อเก็บน้ำเอาไว้ทำนาในหน้าแล้ง เป็นแหล่งอาหารของชาวบ้าน ไม่ต้องกลัวอดยากอีกต่อไป
 
 
ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก
 
 
                      ในปี 2558 ชาวชุมชนได้ร่วมกันจัดตั้งโรงงานผลิตน้ำดื่มชุมชน โดยการระดมหุ้นได้เงินประมาณ 8 แสนบาท มีกำลังการผลิตประมาณวันละ 200 โหล เริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สามารถทำรายได้เข้าชุมชนประมาณเดือนละ 2.5 แสนบาท มูลค่าการลงทุนประมาณ 1.4 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนสวัสดิการชุมชน กองทุนปลดเปลื้องหนี้สินนอกระบบ กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มออมทรัพย์เด็ก ฯลฯ รวมทั้งมูลค่าบ้านมั่นคง 920 หลัง คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 450 ล้านบาท รวมเป็นทุนและสินทรัพย์ทั้งหมดประมาณ 550 ล้านบาท
 
                      จากความสำเร็จของชุมชน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และคณะได้เดินทางมาที่เมืองชุมแพ จ.ขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐของรัฐบาล โดยพล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า ได้มาเห็นบ้านมั่นคงที่ชุมแพแล้ว นึกว่าเป็นบ้านจัดสรร เพราะดูสวยงาม เป็นระเบียบ
 
                      “เมืองชุมแพเป็นต้นแบบที่ดีที่ชุมชนอื่นๆ สามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการพัฒนาชุมชน ถือเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากที่ชุมชนเป็นผู้ริเริ่ม โดยมีหน่วยงานรัฐและเอกชนให้การสนับสนุน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และพอช. รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะนำไปขยายผลให้เกิดพื้นที่แบบนี้ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้กินอิ่ม นอนอุ่น ทุนมี หนี้ลด” รมว.พม.กล่าวทิ้งท้าย
 
 
 
------------------------
 
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก 'ชุมชนเข้มแข็ง กินอิ่ม นอนอุ่น ทุนมี หนี้ลด' : โดย...พนากิจ มูลเมือง)