ไลฟ์สไตล์

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (โรคหัวใจขาดเลือด)

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (โรคหัวใจขาดเลือด)

16 ก.พ. 2559

ดูแลสุขภาพ : โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (โรคหัวใจขาดเลือด)

 
                      โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เป็นโรคที่พบบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะในขณะนี้พบว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เป็นสาเหตุที่ทำให้มีจำนวนคนไทยเสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองจากการประสบอุบัติเหตุ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านผู้อ่านควรมีความรู้ความเข้าใจถึงอาการที่สำคัญของโรคนี้
 
                      โรคหลอดเลือดหัวใจ หมายถึงโรคที่เกิดจากการเสื่อมของผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี (Coronary Artery) ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อเกิดโรคนี้ลักษณะ เฉพาะคือ ผนังหลอดเลือดหนาขึ้น แข็ง ขรุขระ และตีบแคบ ทำให้เลือดผ่านได้น้อยลง เมื่อเลือดไหลผ่านได้น้อยจึงทำให้กล้ามเนื้อหัวใจที่อยู่ปลายทางได้รับเลือดไม่พอ ก็จะเกิดอาการจุกแน่นหน้าอก โดยอาการเป็นมากขึ้นเมื่อออกกำลังหรือทำงานหนัก
 
 
เหตุใดหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงหัวใจจึงมีการตีบตัน
 
                      ถ้าจะเปรียบไปแล้วหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงหัวใจก็เปรียบเหมือนกับท่อส่งน้ำ หรือท่อระบายน้ำ ซึ่งเมื่อมีการใช้งานไปนานๆ ก็ย่อมเกิดการอุดตันขึ้น จากเศษตะกรันต่างๆ หลอดเลือดแดงของหัวใจก็เช่นเดียวกัน การตีบของหลอดเลือดแดงนั้น ส่วนหนึ่งเกิดเมื่อคนเราอายุมากขึ้น โดยธรรมชาติ ผนังหลอดเลือดก็จะมีการหนาตัวขึ้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จึงเป็นโรคของผู้ใหญ่วัยกลางคน และวัยสูงอายุเป็นส่วนใหญ่
 
                      ในกรณีที่ตะกรันบริเวณบริเวณผนังหลอดเลือดหัวใจที่หนาตัวจนเกิดอาการปริ กะเทาะ จะกระตุ้นให้เกล็ดเลือดที่อยู่ในกระแสเลือดมารวมตัวกันในบริเวนตะกรันที่ปริกะเทาะ ทำให้เกิดการอุดตันอย่างเฉียบพลันจากลิ่มเลือดถ้าไม่มีการแก้ไขให้เลือดไหลผ่านได้อย่างเพียงพอกล้ามเนื้อ หัวใจที่ขาดเลือดก็จะเกิดบาดเจ็บเสียหายจนทำให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นหย่อมๆ เรียกว่า ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Acute Myocardial Infarction) ซึ่งกล้ามเนื้อที่ตายมักจะกระตุ้นให้หัวใจเกิดการเต้นผิดจังหวะ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างกะทันหันได้จากการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ กรณีที่กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายเป็นบริเวณกว้างและจำนวนมาก ก็ทำให้หน้าที่ของหัวใจในการสูบฉีดเลือดล้มเหลวจึงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ในคนบางคนมีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้เมื่ออายุยังไม่มาก
 
 
ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องหลอดเลือดหัวใจตีบตันและทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือตายจะมีอาการอย่างไร
 
                      อาการที่สำคัญที่สุดคืออาการเจ็บ หรือแน่นหน้าอก เหมือนมีอะไรมาทับหรือบีบรัด อาการเตือนในระยะแรกๆคือ มีอาการ เจ็บแน่นหน้าอกขณะที่ออก แรงมากๆ เช่น เล่นกีฬา เดินขึ้นที่สูงๆ หรือเวลาออกไปเดินหลังจากทานอาหารอิ่ม เมื่อหลอดเลือดมีการตีบมากขึ้นอาการเจ็บหน้าอกก็จะเป็นได้ง่ายขึ้น เช่น เดินเพียงไม่กี่ร้อยเมตร ขึ้นบันไดเพียง 1-2 ชั้น อาบน้ำเย็นๆ และสุดท้ายอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรก็เจ็บหน้าอก อาการเจ็บหน้าอกที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจะมากน้อยไม่เท่ากันในแต่ละคน แต่ส่วนมากจะเจ็บนานเพียง 1-2 นาที หรืออยู่นานเพียง 5-10 นาที และหายไปเมื่อหยุดพัก ถ้าเส้นเลือดโคโรนารีอุดตัน มักจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง (Heart Attack) และส่วนมากอาการเจ็บหน้าอกจะไม่หายไปเมื่อหยุดพัก การอุดตันของเส้นเลือดเกิดขึ้นเมื่อผนังภายในของเส้นเลือดโคโรนารีปริหรือฉีกขาด ทำให้เกิดขึ้นเป็นลิ่มเลือดก้อนใหญ่อุดตันหลอดเลือดทั้งหมด เลือดไม่สามารถไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ จึงทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตายไปบางส่วน ในกรณีนี้การรักษาที่สำคัญคือ การพยายามทำลายลิ่มเลือดที่เป็นสาเหตุให้เร็วที่สุด
 
                      ตำแหน่งของการเจ็บหน้าอกมีด้วยกันหลายตำแหน่ง บางครั้งอาจจะไม่ได้เจ็บบริเวณหน้าอกโดยตรง แต่อาจจะเจ็บและปวดร้าวไปบริเวณอื่นได้เช่นกัน ดังนี้ เจ็บตรงกลางหน้าอก เจ็บจุก ใต้ลิ้นปี่ ร้าวขึ้นคอ และ/หรือ กราม เจ็บจุก ใต้ลิ้นปี่ ร้าวไปไหล่ซ้าย เจ็บจุก ใต้ลิ้นปี่ เจ็บจุก ใต้ลิ้นปี่ ร้าวขึ้นคอ/กราม ร้าวลงแขน ปวดคอ และกราม ปวดหัวไหล่ซ้ายร้าวลงแขน ปวดสะบักหลัง
 
                      นอกจากอาการเจ็บหน้าอกซึ่งเป็นอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันแล้ว ผู้ป่วยอาจมาด้วยเรื่องเหนื่อยง่าย เหนื่อยผิดปกติ หายใจไม่อิ่ม เหงื่อแตกผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นจึงใคร่ขอแนะนำให้ท่านที่มีอาการดังกล่าวข้างต้นไปขอรับการปรึกษาจากแพทย์ อาจจำเป็นจะต้องทำการตรวจพิเศษเช่น การตรวจดูคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) การตรวจอัลตราซาวน์หัวใจ (ECHO) เป็นต้น
 
 
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันจะทำได้อย่างไร
 
                      การรักษาอาจแบ่งง่ายๆ เป็นการใช้ยา การทำบอลลูนขยายหลอดเลือด การผ่าตัดบายพาส ทั้งนี้และทั้งนั้นการรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจะเหมาะสมกับผู้ป่วยรายใดก็คงต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา และความต้องการของผู้ป่วยด้วย
 
                      สุดท้ายนี้คงต้องควบคุมปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้หลอดเลือดตีบได้ง่ายขึ้นด้วย เช่น การงดสูบบุหรี่ การลดน้ำหนัก และการควบคุมอาหาร การลดไขมันในเลือด และการควบคุมเบาหวานให้ดีด้วย
 
 
 
ศูนย์หัวใจ รพ.ไทยนครินทร์