
'มะม่วง' ทองบนดินเนินมะปราง สู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน
14 ก.พ. 2559
รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : 'มะม่วง' ทองบนดินเนินมะปราง สู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน : โดย...สร้อยแก้ว คำมาลา
คุณค่าแห่งวิถีชีวิตเกษตรกรรม และวิถีวัฒนธรรมชุมชนอันเรียบง่าย ดีงาม บางครั้งก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะประเมินค่าได้เหมือนกัน
อย่าง ที่ “เนินมะปราง” เป็นอำเภอหนึ่งของ จ.พิษณุโลก อยู่ห่างจาก อ.เมือง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 68 กิโลเมตร ที่นี่ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทั้งทำนา ทำไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด และทำสวนผลไม้ โดยเฉพาะมะม่วง ซึ่งกำลังเป็นผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของท้องถิ่น ปัจจุบันทำรายได้สูงราว 3.2 พันล้านบาทต่อปี เลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ ระหว่างวันที่ 19-27 มีนาคม 2559 ที่ อ.เนินมะปราง จึงจัดให้มีงานเทศกาลมะม่วงเนินมะปราง หลังจาก เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2559 กลุ่มคนรักเนินมะปรางจัดกิจกรรมปั่นเพื่ออนาคตเนินมะปราง สู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งเป็นที่น่าสนใจสำหรับชุมชนเกิดใหม่อย่างเนินมะปราง ที่แยกตัวจาก อ.วังทอง เมื่อปี 2526 ทำไมพวกเขาเติบโตและมีพัฒนาการรวดเร็วจนทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของพิษณุโลก ขณะเดียวกันล่าสุดจากการจัด 5 อันดับ อันซีนไทยแลนด์ ที่น่าท่องเที่ยวที่สุด เนินมะปราง ยังเป็นหนึ่งในนั้น
ทั้งมะม่วง และการท่องเที่ยว จึงนับได้ว่ากำลังจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของคนเนินมะปราง ซึ่งไม่ว่าภาครัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่น ของ อ.เนินมะปราง และ จ.พิษณุโลก ต่างก็สนับสนุนผลักดันกันอย่างเต็มที่
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น เมื่อดูบริบทการเติบโตทางเศรษฐกิจของ อ.เนินมะปรางแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า สภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของเนินมะปรางนั่นเอง ที่เป็นต้นทุนสำคัญของคนเนินมะปราง แม้ว่าก่อนหน้านี้ราวร้อยปีก่อน เนินมะปรางยังเป็นพื้นที่ป่า สัตวป่าชุกชุม ไม่มีชุมชนอาศัยอยู่ กระทั่งมีการอพยพของคนไทยในอีสานจาก อ.นครไทย จ.พิษณุโลก อ.ด่านซ้าย จ.เลย อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เข้ามาลงหลักปักฐาน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนยากจน บ่ายหน้าหาแผ่นดินใหม่ทำกิน จึงกลายเป็นชุมชนขึ้นมา
ในยุคบุกเบิกนั้น ทางการมองว่าที่นี่เป็นพื้นที่สีแดง เป็นเขตพื้นที่ของคอมมิวนิสต์ และมีการโจมตีส่วนราชการอยู่เนืองๆ ด้วยเหตุผลทางการเมืองจึงทำให้มีการแยกจาก อ.วังทอง มาเป็น กิ่ง อ.เนินมะปราง เมื่อปี 2519 ก่อนที่อีก 7 ปีต่อมาจะกลายเป็น อ.เนินมะปราง
จากนั้นเมื่อความรุนแรงลดลงกระทั่งเข้าสู่ภาวะปกติ อ.เนินมะปราง ซึ่งกลายเป็นอำเภอใหม่ แต่กลับถือว่าเป็นอำเภอที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรทั้งบนดินและในดิน แม้ว่าทุกครอบครัวไม่อาจสร้างฐานะให้ร่ำรวยได้ถ้วนทั่ว และหลายครอบครัวจัดอยู่ในขั้นที่เรียกว่า ยากจน กระนั้น ก็ถือว่าสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยวิถีการเกษตร
ซึ่งแม้ปัจจุบันเกษตรกรส่วนใหญ่ของเนินมะปรางถึงร้อยละ 70 ยังมีปัญหาเรื่องพิสูจน์เอกสารสิทธิในที่ดินทำกินที่ทับซ้อนที่ดินของภาครัฐอยู่ก็ตาม และแม้ในอดีตชาวบ้านจำนวนมากต้องถูกจับขังอยู่เนืองๆ เป็นกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับชาวบ้านมาตลอด แต่ปัจจุบันด้วยนโยบายของกรมป่าไม้ที่ไม่ตึงจนเกินไป จึงทำให้เกษตรกรสามารถทำกินในที่ดินที่มีข้อพิพาทนั้นได้ กระนั้นเกษตรกรหลายรายหวังว่าจะได้รับการพิสูจน์สิทธิ์ที่ชอบธรรมในการเป็นเจ้าของที่ดินทำกินในอนาคต หรืออย่างน้อยได้รับการออกโฉนดชุมชนก็ยังดี
เนินมะปราง นับได้ว่ามีลักษณะภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะด้านธรณีวิทยา ดังจะพบว่า ลักษณะดินที่นี่มีทั้งดินจากภูเขาหินปูน ดินจากภูเขาดินลูกรัง (ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง) โดยในส่วนพื้นที่ราบนั้นส่วนใหญ่เป็นที่ดินแล้ง และดินโคลนจากภูเขาผสมดินดำตามพื้นที่ราบเชิงเขา
ความหลากหลายของดิน คือที่มาของการปลูกมะม่วงที่ให้รสชาติดีที่สุด เนื่องจากเนินมะปรางอยู่ในพื้นที่สูงและแล้ง และพื้นที่ที่มีความแล้งนี่เองที่ทำให้มะม่วงน้ำดอกไม้ยามสุกมีรสหวานฉ่ำ (เพราะมะม่วงที่ชุ่มน้ำจะทำให้มีรสเปรี้ยว) กระทั่งนำไปสู่การเป็นมะม่วงคุณภาพนำส่งออกต่างประเทศและทำรายได้ให้แก่เนินมะปรางราว 3.2 พันล้านบาทต่อปี หรืออาจมากกว่านั้น (ข้อมูลจากสำนักงานการเกษตรอำเภอเนินมะปราง)
ศิลป์ชัย ตระกูลทิพย์ ประธานชมรมผู้ปลูกมะม่วงอำเภอเนินมะปราง ได้เล่าให้ฟังว่า ประมาณปี 2530 ทางเกษตรอำเภอได้มาส่งเสริมให้ปลูกมะม่วง และกลุ่มคนปลูกมะม่วงเนินมะปรางก็ได้รวมกลุ่มกันเมื่อปี 2532 โดยเริ่มต้นจากเกษตรกร 14 ราย ที่ค่อยๆ เรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปลูก
ปี 2544 มีการประสานกับทางกลุ่มพ่อค้าส่งออกซึ่งมีทั้งนักลงทุนชาวไทยและชาวญี่ปุ่น จนทำให้สามารถนำมะม่วงส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ราคาค่อนข้างสูง
ปัจจุบันกลุ่มผู้ปลูกมะม่วงเนินมะปราง มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 40 ราย แต่มีการรวมกลุ่มย่อยเพิ่มอีกหลายกลุ่มมาก ทั้งได้ขยายเครือข่ายไปสู่ จ.พิษณุโลก และกลายเป็นเครือข่ายระดับประเทศ เนื่องจากความต้องการมะม่วงของตลาดต่างประเทศยังมีสูง
จากข้อมูลของฝ่ายยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนามะม่วงภาคเหนือตอนล่าง สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 ระบุว่า ในประเทศไทยมีเกษตรกรที่ปลูกมะม่วงอยู่ 259, 276 ครัวเรือน มีพื้นที่ให้ผลประมาณ 816,467 ไร่ เฉพาะที่ จ.พิษณุโลก จังหวัดเดียวมีพื้นที่ปลูกถึง 103,280 ไร่ คิดเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ของภาคเหนือตอนล่างทั้งหมด ซึ่งที่เหลือกระจายอยู่ใน จ.เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ สุโขทัย
“เฉพาะ อ.เนินมะปราง เราปลูกประมาณ 6 หมื่นกว่าไร่ ปลูกเฉพาะน้ำดอกไม้ประมาณ 3 หมื่นกว่าไร่ ที่เหลือก็จะเป็นฟ้าลั่น เพชรบ้านลาด และอื่นๆ น้ำดอกไม้นั้นถ้าคัดเกรดเอส่งออกจะได้กิโลกรัมละ 100 บาท ผลผลิต 1 ไร่ จะได้ประมาณ 1 ตัน ส่วนพันธุ์อื่นๆ ได้ราคาประมาณ 60-70 บาท ต่อกิโลกรัม ถ้าจะถามว่ามะม่วงที่นี่ทำรายได้เท่าไหร่ก็ลองคำนวณดู”
ศิลป์ชัย พูดพลางหัวเราะ เขาภาคภูมิใจที่มะม่วงเนินมะปรางสามารถสร้างเศรษฐกิจที่ดีให้คนเนินมะปรางได้ แต่เขาก็ยังเป็นห่วงเรื่องสิ่งแวดล้อม และได้ฝากบอกถึงเพื่อนเกษตรกรให้ใช้สารเคมีตามที่นักวิชาการกำหนด และให้ผู้ปลูกทุกคนดูแลสุขภาพด้วย
“คนบริโภคปลอดภัยอย่างเดียวไม่ได้ ผู้ปลูกต้องปลอดภัยด้วย” ศิลป์ชัย ย้ำ
ความสำเร็จของการปลูกมะม่วงที่เนินมะปราง และการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตขึ้นของเนินมะปรางอาจกล่าวได้ว่า ล้วนเป็นผลมาจากการมีสิ่งที่เรียกว่า “ทรัพย์ในดินสินในน้ำ” โดยแท้ เป็นผลแห่งการมีผืนดินที่แม้บางช่วงบางแห่งไม่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์ แต่กลับกลายเป็นโอกาสในผลิตผลที่ยากจะหาได้จากที่อื่น ขณะที่พื้นที่อื่นๆ ที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์ก็ยิ่งทำหน้าที่ของการสร้างระบบนิเวศและความสมดุลให้แก่สิ่งแวดล้อมที่นี่
ทั้งมะม่วงและการท่องเที่ยว ที่ชุมชนกำลังพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเพื่อให้คงคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าการท่องเที่ยวนิเวศชุมชน อันเป็นเป้าหมายอันใกล้นี้ จึงนับได้ว่าน่าสนับสนุนและหนุนเสริมให้พวกเขาได้ดำรงคุณค่าเหล่านี้ไว้ให้ยาวนานและยั่งยืน
----------------------
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : 'มะม่วง' ทองบนดินเนินมะปราง สู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน : โดย...สร้อยแก้ว คำมาลา)



