ไลฟ์สไตล์

ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ 'ท่าข้าม'

ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ 'ท่าข้าม'

07 ก.พ. 2559

หลากมิติเวทีทัศน์ : ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ 'ท่าข้าม' : โดย...รัชตะ มารัตน์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)

 
                     ความเชื่อที่ว่า การพัฒนาสังคมที่ถูกต้อง จะต้องเริ่มจากล่างขึ้นบน มิใช่จากบนลงล่าง พูดกันมานานพอสมควร แต่ไม่ค่อยเห็นเป็นจริงมากนัก และความคิดที่ว่า ประชาชนยังไม่พร้อม ก็ยังมีอยู่ แต่แท้ที่จริง ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว คุณอาจจะต้องเปลี่ยนความเชื่อเสียที
 
                     จากที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมสภาองค์กรชุมชน ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ภิรมย์ พริกไทย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 บ้านท่าตลิ่งชัน และประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลท่าข้าม พร้อมสมาชิกสภา กำลังพูดจาปราศรัย แลกเปลี่ยนปัญหาและหาทางแก้ไขร่วมกัน เพื่อนำผลที่ได้เป็นธงร่วมในการ “พัฒนาให้ตำบลท่าข้าม เป็นพื้นที่รูปธรรม จัดการตนเองอย่างยั่งยืน” เห็นได้ชัด
ต.ท่าข้าม ผู้อาศัยส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น แต่ก็มีชาวบ้านจากนนทบุรี นครปฐมและกาญจนบุรีเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนมาก เพื่อมาหางานทำ เนื่องด้วยตำบลท่าข้ามตั้งอยู่ใกล้เขตเมือง ความเจริญกำลังรุกคืบเข้ามา มีกิจการร้านค้าหมู่บ้านจัดสรร เกิดขึ้นมากมาย จนสภาพไม่ต่างอะไรกับชุมชนเมือง
 
                     แรกเริ่มเดิมทีเป็นชุมชนศูนย์กลางการค้าขายผลผลิตทางการเกษตรจากสองลุ่มน้ำ คือ “แม่น้ำตาปี” ที่มีต้นน้ำมาจากเขต จ.นครศรีธรรมราช และ “คลองพุมดวง” ที่มีต้นน้ำมาจาก อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งสายน้ำทั้ง 2 สายจะมาบรรจบกันที่ ต.ท่าข้าม ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “แหลงช้าง” ในปัจจุบัน
 
                     ด้วยลักษณะที่เป็นพื้นที่ศูนย์กลางดังกล่าว ต.ท่าข้าม จึงกลายเป็นชุมชนใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นตามลักษณะภูมิประเทศ และเกิดเป็นต้นตระกูลที่บรรพบุรุษจะใช้ชื่อของปู่ย่าตายายในรุ่นแรกมาสนธิกันจนเกิดเป็นนามสกุลใหม่ กลายเป็นชาวท่าข้ามนับแต่บัดนั้น ผ่านมาแล้ว 3-4 ช่วงอายุคน
 
 
ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ 'ท่าข้าม'
 
 
                     สำหรับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง คือชาวจีนอพยพที่ล่องเรือเข้ามาจากฝั่งตะวันออก และมาตั้งชุมชนในตลาดตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ภายหลังจากการก่อสร้าง “สะพานพระจุลจอมเกล้า” เมื่อปีพุทธศักราช 2449 เกิดเป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ประกอบอาชีพค้าขายในเขตเทศบาลเมืองท่าข้ามในปัจจุบัน
 
                     ส่วนของชุมชนชาวภาคกลางเอง ได้ย้ายถิ่นฐานจากคำบอกเล่า เมื่อประมาณ 40-50 ปีก่อน โดยเข้ามาซื้อที่ดินบริเวณนี้ในราคาหลักร้อยบาท ด้วยความคิดที่ว่า พื้นที่แห่งนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์น่าจะเป็น “บ่อเงิน บ่อทอง” สำหรับลูกหลานได้ในอนาคต
 
                     “ผู้ใหญ่ภิรมย์” เล่าว่า การพัฒนารูปแบบใหม่ในปัจจุบันจะใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลท่าข้าม จะเป็นตัวกลางให้พี่น้องชาวท่าข้ามได้ร่วมกันพัฒนาระบบเศรษฐกิจและทุนชุมชนฐานราก โดยการประสานภาคีต่างๆ เข้ามาร่วมสนับสนุน เวทีในวันนี้จึงมีทั้งการทำกระบวนการกลุ่ม วิเคราะห์ศักยภาพหมู่บ้าน จุดแข็งคืออะไร จุดอ่อนเป็นอย่างไร รวมทั้งการสอดแทรกข้อเสนอแนะของชุมชน มีการวิเคราะห์ทุนหลักของชุมชน ทั้งในเรื่องทรัพยากร ภูมิปัญญา เงินตรา หรือแม้กระทั่งการค้นหาสาเหตุการไหลออกของคนวัยทำงาน ตบท้ายด้วยการร่วมมือกันวาดแผนที่ทำมือ หรือแผนที่ชุมชน เสมือนหนึ่งเป็น “จิตรกรรมชิ้นเอกของชุมชน” ก็เรียกได้
 
 
ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ 'ท่าข้าม'
 
 
                     จากการร่วมกันพูดคุย วิเคราะห์ออกมาว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ของ ต.ท่าข้าม ทำเกษตรกรรม ปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพารา และรับจ้างทั่วไป ซึ่งก็ไม่แตกต่างอะไรกับพื้นที่อื่นๆ ทางภาคใต้ ที่มักปลูกพืชเหล่านี้เป็นอาชีพหลักตามกระแส “นโยบายนิยม” พอถึงบทราคาตกต่ำก็เดือดร้อน “ทุกข์” ถ้วนหน้ากัน จนมีสำนวนหนึ่งที่ออกมาจากบทเพลงทางภาคใต้ในช่วงนี้ว่า “ยางมันลงเหลือกิโลสิบห้า ชาดมันบ้าเหลือร้าย โหมเราชาวใต้ อิตายแล้วเด้”
 
                     ผู้ใหญ่ภิรมย์ พาผู้เขียนไปยังหมู่ 3 ซึ่งเป็นชุมชนชาวภาคกลาง ได้พบกับ สมพนธ์ ไทยบุญรอด อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม ซึ่งเป็นแกนนำชุมชน พร้อมกับพี่น้องในชุนชนอีกจำนวนหนึ่ง กำลังนั่งวิเคราะห์ข้อมูลของชุมชน เกี่ยวกับมูลค่าที่ได้จากผลผลิต เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับพัฒนาพื้นที่ ตามโจทย์ของสภาองค์กรชุมชนที่ให้ไว้เมื่อวันก่อน
 
                     การนำเสนอในเวทีหมู่บ้าน ชาวบ้านได้บอกกล่าวเรื่องราวอย่างเป็นระบบ มีเนื้อหาสาระเป็นที่น่าสนใจ โดยเล่าว่า
 
 
ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ 'ท่าข้าม'
 
 
                     ในช่วงแรกๆ ชาวบ้านละแวกนี้ปลูกพืชยืนต้นเป็นอาชีพหลัก เช่น ส้มและชมพู่ ต่อมาในช่วงปีพุทธศักราช 2505 เกิดมหาวาตภัยขึ้นที่แหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช ส่งผลให้อาสินของพี่น้องเกิดความเสียหาย ชาวบ้านเองก็วิเคราะห์กันว่าพื้นที่แห่งนี้คงไม่เหมาะสมที่จะปลูกพืชยืนต้นอีก จึงพยายามวิเคราะห์ด้วยหลักคิดที่ว่า “คนบ้านดอนเขาขาดอะไร” คิดได้แบบนั้น จึงเริ่มนำวิทยาการด้านการปลูกผักระยะสั้นมาใช้นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ส่งขายท่าน้ำของชุมชนท่าข้าม โดยพายเรือผ่านสายคลองของชุมชนออกไปสู่แม่น้ำตาปี รวมถึงทางรถไฟสายใต้ลงไปถึงหาดใหญ่ และตลาดบ้านดอน หรือเมืองสุราษฎร์ธานี นั่นเอง
 
                     ต่อมาช่วงพุทธศักราช 2518 ในสมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เกิดนโยบาย “เงินผัน” ทำให้มีการสร้างถนนหนทางเชื่อมติดกันหลายเส้นทาง วิถีการค้าขายทางน้ำ จึงค่อยๆ ลดหายไป แต่ทว่าส่งผลดีที่ทำให้พี่น้องเองก็ขายพืชผักได้มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน แต่ก็มาเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อประมาณปีพุทธศักราช 2540 เป็นต้นมา รัฐพยายามส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ เกิดห้างสรรพสินค้า ไม่ต่ำกว่า 3 แห่งในเขตเมือง เกิดหมู่บ้านจัดสรร มีการจ้างงานของธุรกิจใหญ่ คนจากต่างถิ่นก็หลั่งไหลเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น
 
                     สมพนธ์ ได้ยกกรณีศึกษาที่น่าสนใจว่า ที่ผ่านมารัฐก็พยายามทำการสำรวจข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน หรือ จปฐ. แต่ข้อมูลเหล่านั้นก็ไม่ได้ตอบโจทย์ของชุมชนจริงๆ เขาจึงสนใจกระบวนการทำงานของ “สภาองค์กรชุมชน” เพราะอย่างน้อยการชวนชาวบ้านมาพูดคุยทำให้ตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการของชาวบ้านอย่างลึกซึ้ง ผ่านการคิดของชาวบ้านเอง ตอนนี้จึงมีการวิเคราะห์ปัญหาหลักด้านรายได้ของพี่น้องที่เกิดขึ้นว่า จริงๆ แล้ว ราคาปาล์ม ราคายางพารา คนท่าข้ามมีรายได้แค่ไร่ละหมื่นกว่าๆ ต่อปี แต่ถ้าปลูกผักหรือพืชชนิดอื่นโอกาสมีรายได้ถึงไร่ละหลักแสนบาทต่อปี
 
 
ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ 'ท่าข้าม'
 
 
                     นี่จึงเป็นข้อมูลสำคัญ ที่สภาองค์กรชุมชน จะใช้ในการพัฒนาต่อยอดและทำให้คนในชุมชนรับทราบและเข้าถึงข้อมูลในการปลูกพืชผักชนิดต่างๆ เช่น ผักบุ้ง คะน้า กวางตุ้ง หรือวิทยาการใหม่ๆ เช่น การปลูกผักแต้มพริก การปลูกผักร่องสวน “ถ้าชุมชนเกิดความสนใจ เราก็จะส่งขายห้างค้าส่งตามความต้องการได้มากขึ้น สารเคมีก็จะใช้น้อยลง คนรุ่นหลังก็ไม่ต้องกังวลที่จะกลับมาอยู่บ้าน เพราะสภาเราจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดอยู่ตลอดเวลา” สมพันธ์ กล่าวอย่างภูมิใจ
 
                     ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ยังมีเรื่องการพลิกฟื้นวิถีชีวิตในอดีตภายใต้การอยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลง ด้วยการฟื้น “ตลาดน้ำชุมชน” เนื่องจากชุมชนตั้งอยู่ติดลำน้ำ คล้ายๆ กับตลาดโก้งโค้ง ตลาดพื้นบ้านที่นำของกินของใช้มาซื้อหาแลกเปลี่ยนยกระดับไปสู่การจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นการสร้างพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของชุมชนอีกอย่าง
 
                     ก็หวังว่าการทำแผนสำรวจข้อมูลชุมชนพื้นที่รูปธรรม จะทำให้ชุมชนเกิดความตื่นรู้ในข้อมูลชุมชน และสามารถพัฒนาพื้นที่ให้ท่าข้ามเป็น “ผู้นำทางความคิด” มากกว่า “ผู้ทำตามนโยบาย”
 
 
 
 
----------------------
 
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ 'ท่าข้าม' : โดย...รัชตะ มารัตน์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.))