
วรรคแรกของกลอนอาลัย
07 ก.พ. 2559
ศิลป์แห่งแผ่นดิน : วรรคแรกของกลอนอาลัย : โดย...ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
ปีนี้ผมอายุ 59 มีเวลาเป็นชายวัยกลางคนอีกปีเดียว ก็จะเข้าสู่วัยปลายคน
อายุขนาดนี้ก็สมควรจะปล่อยจะปลงอะไรต่อมิอะไรลงบ้าง ปลดสัมภาระที่เกินความจำเป็นลงจากบ่า วันเวลาข้างหน้าเหลือน้อยเต็มที
คนเรายิ่งอายุมากก็ยิ่งได้ใกล้ชิดความตาย ยิ่งใครอยู่นานก็จะยิ่งได้เห็นญาติมิตรล้มหายตายจากไปงานศพบ่อยครั้งในรอบปีทุกครั้งร่วมรู้เห็นเป็นพยานการพลัดพรากเกิดความรู้สึกชินชา เห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา ก็จนกว่าจะถึงคราวต้องสูญเสียคนที่รัก และสุดท้ายก็ถึงคราวของตัวเอง
ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะวันนี้ผมก็ต้องไปร่วมงานฌาปนกิจของเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายผู้หนึ่ง เขียนกลอนไว้อาลัยแด่ท่านหนึ่งบท พร้อมเตรียมขลุ่ยคู่กายไปขับขานหน้าเมรุ คิดถึงกลอนอีกมากมายหลายบทที่เคยเขียนไปก่อนหน้านี้ หากรวบรวมกลอนทั้งหมดเข้าด้วยกันก็สามารถพิมพ์เป็นเล่มได้เลยทีเดียว
คนสูงวัยล้วนต่างเคยไปร่วมงานศพกันมานับร้อยๆ หน รับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าที่อาดูร สูญเสีย แม้บางครั้งเราไปตามมารยาท และหน้าที่ทางสังคมก็ตาม
ปีนี้บุคคลในวงการวรรณกรรม ได้ล่วงลับจากลาไปหลายคน สิ่งที่เหลือคือความทรงจำอันผูกพันเราไว้ด้วยกัน และที่เห็นเป็นรูปธรรมก็คือ หนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจ ซึ่งเป็นของมีคุณค่า ไม่ว่าเวลาจะเลยล่วงไปนานเท่าใด
วันนี้ผมก็ได้เขียนบทกวีอาลัยผู้วายชนม์ขึ้นมาอีกหนึ่งบท ก่อนหน้านี้ก็ได้เขียนให้บุคคลอันเป็นที่รัก และยิ่งอยู่นานไปผมก็คงได้เขียนอีกหลายต่อหลายบท แต่ก็คงไม่ได้เขียนให้ตนเอง และไม่ได้อ่านบทกลอนอาลัยในงานศพของตัวเอง เว้นแต่จะเขียนไว้เลย และอ่านบันทึกเสียงไว้ตอนนี้ เอาไว้เปิดตอนงานศพตัวเอง
ผมไม่ทราบว่าการอ่านกลอนหน้าเมรุในงานศพนี้เริ่มมาแต่เมื่อใด รู้แต่ว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรคงอยู่ต่อไป
ทุกคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญ สำหรับใครคนใดคนหนึ่งเสมอ ผมชอบการอ่านประวัติผู้วายชนม์ หน้าเมรุ ที่มีแต่ยกย่องสรรเสริญคุณงามความดีไม่มีการกล่าวถึงในแง่ร้ายเลย
ของที่ระลึกที่ผมชอบที่สุดคือ “หนังสืองานศพ” ไม่ว่าผู้วายชนม์จะเป็นใคร อย่างน้อยในหนังสืองานศพก็จะมีบทกลอนสักบทเป็นอย่างน้อยเสมอ
วันนี้ที่ผมเขียนต้นฉบับนี้ ผมกำลังจะไปร่วมงานศพ บุคคลธรรมดาผู้หนึ่ง ซึ่งท่านอยู่ยืนยงมาถึง 103 ปี อายุขัยยืนยาวขนาดนี้หมายถึงว่าท่านเป็นบุคคลสำคัญพิเศษที่ทุกคนควรเรียนรู้วิถีชีวิตของท่าน
เป็นงานศพไม่กี่งานที่ผู้ร่วมอาลัยสามารถใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสได้โดยไม่ต้องติดยึดในกรอบธรรมเนียมประเพณี อายุขัยกว่า 100 ปี ย่อมมีบารมีมากพอ ทั้ง “บารมีที่ทำ” และ “บารมีธรรม”
การจากไปของท่านสอนคนที่ยังอยู่ให้รู้ถึงค่าของเวลานาที วันนี้รู้สึกดีที่ได้เห็นงานศพที่มีสีสันสดใส ผู้มาร่วมอาลัยใส่เสื้อมาหลากสี สีแดง เหลือง ฟ้า ส้ม เขียว ทั้งเสื้อดอกเสื้อลาย ครบทุกสี
เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด....วรรคแรกของกลอนงานศพ....
“ตราบสายลมอนิจจังยังพัดโบก....”