
'ม.มหิดล'แจงปมหมอลาออกหนีทุน
02 ก.พ. 2559
'หมอหนีทุน' อ้างใช้ไป 8 ล้าน เรียกเก็บ 30 ล้าน ไม่เป็นธรรม ไม่จ่าย ม.มหิดล เร่งหารือ สกอ.จ่อฟ้องล้มละลาย ขึ้นแบล็กลิสต์ ทวงหนี้ข้ามประเทศ แจงยับยั้งลาออกไม่ได้
2 ก.พ. 59 ที่มหาวิทยาลัยมหิดล (ม.มหิดล) ศาลายา ศ.นพ.บรรจง มไหสวริยะ รองอธิการบดี ม.มหิดล เป็นประธานแถลงข่าวกรณี ทพญ.ดลฤดี จำลองราษฎร์ อดีตอาจารย์คณะทันตแพทยศาสตร์ ม.มหิดล ไม่ชดใช้ทุนรัฐบาล ว่า เรื่องดังกล่าว ม.มหิดล ไม่ได้บ่ายเบี่ยงที่จะให้ข้อมูล หรือตอบคำถาม แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นมานาน ตั้งแต่ปี 2547 และเกี่ยวข้องกับผู้บริหารชุดเก่าๆ ทำให้ต้องรวบรวมข้อมูล เพื่อให้เกิดความถูกต้องก่อนตอบคำตอบ
ทั้งนี้ สำหรับการเรียกให้ชดใช้ทุน ม.มหิดล ได้ดำเนินการ ดังนี้ ขั้นตอนแรก คือ การเรียกให้ชดใช้เงินจากผู้ผิดสัญญาและผู้ค้ำประกัน เนื่องจากการค้ำประกันในสัญญาดังกล่าวยังคงเป็นไปตามหลักการเดิม คือ ผู้ทำสัญญาและผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกันในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ม.มหิดล จึงได้มีหนังสือแจ้งให้อดีตทันตแพทย์และผู้ค้ำประกันทุกคนนำเงินจำนวนที่ต้องรับผิดตามสัญญามาชดใช้ให้แก่ ม.มหิดล ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ปฏิบัติเป็นปกติเป็นการทั่วไป และปรากฏว่าทั้งอดีตทันตแพทย์และผู้ค้ำประกันทุกราย มิได้มาชดใช้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ม.มหิดล จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป คือ ขั้นตอนการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อใช้สิทธิ์เรียกให้อดีตแพทย์และผู้ค้ำประกันแต่ละรายมาชดใช้ ม.มหิดล และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จึงได้นำคดีขึ้นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้อดีตทันตแพทย์และผู้ค้ำประกันชดใช้เงินให้แก่ทางราชการ โดยให้อดีตทันตแพทย์และผู้ค้ำประกันตามสัญญารับทุนรัฐบาลฯ ร่วมกันหรือแทนกันต้องชดใช้เงินให้แก่ สกอ.เจ้าของทุน จำนวน 196,637.49 บาท กับ 666,131.73 ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2549 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้อดีตทันตแพทย์และผู้ค้ำประกันรับผิดชอบใช้เงินตามฟ้องและเมื่อคดีถึงที่สุด ม.มหิดล ได้มีหนังสือแจ้งให้อดีตทันตแพทย์และผู้ค้ำประกันนำเงินมาชำระคำพิพากษา แต่อดีตทันตแพทย์ไม่ได้นำเงินมาชำระ ส่วนผู้ค้ำประกันรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงขอหารือเรื่องการผ่อนผันต่อไป
ภายหลังศาลมีคำพิพากษาทาง ม.มหิดล ได้มีการติดตามอดีตทันตแพทย์และผู้ค้ำประกันทั้ง 4 โดยการส่งหนังสือไปยังอดีตทันตแพทย์ที่อยู่ต่างประเทศตามขั้นตอนการทวงหนี้ ในส่วนผู้ค้ำประกันทั้ง 4 ราย ม.มหิดล ได้มีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับขั้นตอนการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งในขั้นต้น ม.มหิดล ได้ทำความเข้าใจและชี้แจงผู้ค้ำประกันว่า ความรับผิดชอบตามคำพิพากษาที่ต้องใช้ระหว่างอดีตทันตแพทย์และผู้ค้ำประกันนั้นเสมอกันตามคำพิพากษาของศาลปกครอง ร่วมกัน ระบุว่า ร่วมกันหรือแทนกัน ซึ่งผู้ค้ำประกันก็เข้าใจในสถานะดังกล่าว และขอความเห็นใจว่าผู้ค้ำประกันแต่ละรายมีเจตนาดีต่ออดีตทันตแพทย์
ดังนั้น ผู้ค้ำประกันทั้ง 4 ราย จึงยื่นคำร้องขอผ่อนผันการชำระหนี้ ผ่าน ม.มหิดล ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผ่อนผัน ซึ่งก็ได้รับการลดหย่อนภาระหนี้ และผ่อนผันหนี้ได้โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
สำหรับกรณีที่เหตุใด ม.มหิดล จึงอนุญาตให้อดีตทันตแพทย์รายดังกล่าวออกจากข้าราชการ รองอธิการบดี ม.มหิดล อธิบายว่า การลาออกจากราชการ กับการชดใช้เงินทุน เป็นคนละกรณีกัน เพราะการให้ข้าราชการลาออกและยังต้องชดใช้ทุนไม่ถือเป็นเหตุในการยับยั้งการลาออกตามระเบียบ ก.พ.ว่าด้วยการลาออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. 2551
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ค้ำประกันทั้ง 4 ราย ได้นำเงินมาชดใช้ครบตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2559 ถือว่าพ้นความรับผิดชอบทั้งหมดแล้ว แต่อดีตทันตแพทย์ก็ยังอยู่ในบ่วงกรรมที่ต้องใช้ทุน และไม่ใช่ว่าจะนำเงินมาคืนผู้ประกัน 8 ล้านบาทเท่านั้น แต่ต้องคืนเงินให้รัฐบาล เป็นจำนวนเงิน 30 ล้านบาท
ศ.นพ.บรรจง กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า ทพญ.ดลฤดี เดินทางมาประเทศไทยเมื่อปี 2558 ทำไม ม.มหิดล ไม่ดำเนินการนั้น ซึ่งเรื่องนี้ ตนได้รับข่าวเช่นกันแต่ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ เพราะการตรวจสอบและขอความร่วมมือจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จะตรวจสอบได้ก็ต่อเมื่อมีการดำเนินการให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย และเรื่องนี้ทางมหาวิทยาลัยไม่สามารถดำเนินการเองได้ จะต้องดำเนินการผ่าน สกอ. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับ สกอ.เพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ เรื่องการฟ้องร้องล้มละลาย เป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถดำเนินการทวงหนี้ข้ามประเทศได้ รวมถึงเมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย จะมีแบล็กลิสต์ในประเทศ ซึ่ง ตม.สามารถล็อกตัวไว้ได้ นอกจากนี้ ส่วนการติดตามสอบถามถึงการติดตามบังคับทรัพย์สินของอดีตทันตแพทย์รายดังกล่าว ณ ต่างประเทศ ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะเป็นคดีแพ่ง และมีมูลกรณีเกิดขึ้นในประเทศไทย เจ้าหนี้ไม่สามารถติดตามบังคับคดีนอกอาณาจักรได้
"มหาวิทยาลัยไม่ได้นิ่งนอนใจ และถือว่าเรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ รวมถึงกรณีศึกษาที่ ม.มหิดล จะต้องไปทบทวนแนวทางการให้ทุนการศึกษาต่อยังต่างประเทศ โดยให้ผู้ขอทุนเป็นผู้รับผิดชอบหลัก เพื่อไม่ให้ผู้ค้ำประกันซึ่งมีความหวังดีต้องได้รับผลกรรม ซึ่งที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยก็พยายามช่วยเหลือเต็มที่ และเราก็รู้สึกหดหู่ใจที่ไม่ช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ เพราะการช่วยเหลือต้องเป็นไปตามกฎระเบียบต่างๆ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับจริยธรรมวิชาชีพ ไม่ใช่ส่วนของมหาวิทยาลัย แต่เป็นส่วนสภาวิชาชีพที่จะต้องดำเนินการ" ศ.นพ.บรรจง กล่าวและว่า ที่ผ่านมา จะมีกรณีที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับอดีตทันตแพทย์หรือไม่นั้น เรื่องนี้ต้องไปสอบถามที่ สกอ.
รศ.ทพ.พาสน์ศิริ นิสาลักษณ์ คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ ม.มหิดล กล่าวว่า อดีตทันตแพทย์ ได้ยื่นหนังสือลาออกตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค. 2547 โดยให้เหตุผลว่า ต้องการไปทำงานวิจัยที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อทางมหาวิทยาลัยและ สกอ.ทราบเรื่องดังกล่าว จึงได้แจ้งให้ดำเนินการฟ้องคดี 7 ก.ย. 2547 ก่อนให้หนังสือลาออกดังกล่าวมีผลวันที่ 28 ก.ย. 2547
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยไม่ได้เพิกเฉย และได้พยายามติดตามทวงหนี้ ซึ่งอดีตทันตแพทย์ ให้เหตุผลไม่ยอมชดใช้ทุนว่า ไม่มีเงิน มีภาระ ไม่เป็นธรรม และรัฐบาลไทยเรียกร้องมากเกินไป เพราะเขาใช้เงินไป 8 ล้านกว่า มาเรียกเก็บ 30 ล้าน เขาเลยไม่จ่าย ซึ่งขณะนั้น ทาง ม.มหิดล ได้พยายามหาแนวทางช่วยเหลือเยียวยาทั้งในส่วนอดีตทันตแพทย์ และผู้ค้ำประกัน โดยได้พยายามติดต่อไปยังอดีตทันตแพทย์และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้อดีตทันตแพทย์มาสอนผ่านทางออนไลน์ หรือมาสอนเป็นช่วงเวลา ถือเป็นการชดใช้ทุน แต่เมื่อสอบถามไปยังกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลาง กลับได้รับคำตอบว่า ไม่สามารถที่จะให้ชดใช้ทุนในลักษณะดังกล่าวได้
ทันตแพทยสภาถกฟันหมอฟันหญิงหนีทุนสัปดาห์หน้า
ทพ.ธรณินทร์ จรัสจรุงเกียรติ นายกทันตแพทยสภา กล่าวว่า ทันตแพทย์หญิงคนดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนประกอบโรคศิลปะที่ทันตแพทยสภา ซึ่งปัจจุบันยังมีผลบังคับใช้และสามารถประกอบวิชาชีพภายในประเทศไทยได้อยู่ แต่หลังปรากฎเป็นข่าวว่าไม่ยอมชดใช้ทุนคืนนั้นทำให้มีบุคลากรในแวดวงสาธารณสุขร้องเรียนเข้ามายังทันตแพทยสภาเป็นจำนวนมากเพื่อขอให้มีการพิจารณาลงโทษ ถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ แต่ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันนั้นยังไม่มีการประสานทำเรื่องร้องเรียนเข้ามาเลย อย่างไรก็ตามเนื่องจากเรื่องนี้เป็นประเด็นที่สังคมกำลังจับตา
“ทันตแพทยสภาจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการทันตแพทยสภาภายในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาบทลงโทษต่อไป ส่วนจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับประเด็น และข้อมูลต่างๆ ซึ่งต่อจากนี้จะทำเรื่องขอข้อมูลไปยังหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ซึ่งการจะลงโทษทันตแพทย์ต้องดูที่แต่ละประเด็น ดูหลักฐานประกอบ ซึ่งบทลงโทษจะมีตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือน ภาคฑัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต และเพิกถอนใบอนุญาต ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทันตแพทย์ส่วนใหญ่จะทำผิดเรื่องมาตรฐานวิชาชีพจึงทำการว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้น ยังไม่เคยมีความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียด หากมีการผิดกฎหมายบ้านเมืองก็จะมีการพิจารณาประกอบกัน เพราะตามบทบัญญัติของวิชาชีพระบุว่ากรณีที่ทำผิดกฎหมายทันนตแพทยสภาสามารถนำมาพิจารณาประกอบกันได้”ทพ.ธรณินทร์กล่าว



