
ความเหมือนบนความแตกต่าง2ม.ดังเอแบค-ม.อีสาน
26 ม.ค. 2559
ความเหมือนบนความแตกต่าง 2 ม.ดัง เอแบค-ม.อีสาน ถูกควบคุมตาม มาตรา 86
ความขัดแย้งของ “มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือเอแบค” ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2558 จวบจนขณะนี้ ดูท่าจะเข้าข่าย “น้ำผึ้งหยดเดียว” ทำลายล้าง สร้างความเสียหายให้แก่ม.เอกชน เก่าแก่ มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับจากนักศึกษาชาวไทย และต่างชาติ ล่าสุด “พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้องใช้ยาแรง ตามมาตรฐาน 86 (4) วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาบังคับใช้ คือ แต่งตั้งคณะกรรมการเข้าไปดูแล ทำหน้าที่คล้ายสภามหาวิทยาลัย เป็นคนกลางเข้าไปช่วยดูแล ขจัดปัญหาภายในของมหาวิทยาลัยที่เกิดจากเหล่าผู้บริหารที่แย้งชิงอำนาจด้วยหวั่นลุกลามส่งผลกระทบต่อนักศึกษา
พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชนพ.ศ.2546 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2550 ระบุว่า มาตรา 86 เมื่อสถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ไม่มีทุนพอจะดำเนินการต่อไป หรือมีหนี้สินเกินทรัพย์สินหรือมีฐานะการเงินไม่มั่นคงอันอาจเกิดความเสียหายแก่สถาบันอุดมศึกษาเอกชน (2) ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวง เงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนด หรือประกาศที่ออกหรือกำหนดตามพระราชบัญญัตินี้หรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนหรือคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ในเมื่ออาจทำให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐมนตรีซึ่งสั่งการตามมาตรา 100 วรรคสาม
(3) หยุดสอนเกินสองเดือนติดต่อกันเว้นแต่เป็นการหยุดสอนตามข้อกำหนดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และ (4) สภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบันอธิการบดีคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนดำเนินการอันเป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยของประเทศวัฒนธรรมของชาติความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนอยู่ในความควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาและให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยกรรมการไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินสิบห้าคนทำหน้าที่แทนสภาสถาบันและให้ประกาศคำสั่งควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยกำหนดเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสามวัน
ฉะนั้น จากมาตรา 86 (4) กำหนดไว้ว่า ถ้ามหาวิทยาลัยเอกชน เกิดเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ จากทั้งหมด 4 สาเหตุข้างต้น กรณีของ ม.เอแบค ถือได้ว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรม ความสงบและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามมาตรา 86 (4)”
ว่ากันว่า การควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน “พล.อ.ดาว์พงษ์” มีคำสั่งควบคุมและแต่งตั้งกรรมการควบคุม ไม่น้อยกว่า 5 คนแต่ไม่เกิน 15 คน จากนั้นประกาศคำสั่งควบคุมในหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทย ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วัน นอกจากนั้น ห้ามอธิการบดี คณาจารย์ประจำ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ เว้นแต่จะได้รับมอบหมายจากกรรมการควบคุม และส่งมอบทรัพย์สิน สมุดบัญชี เอกสาร และสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้แก่คณะกรรมการควบคุมโดยไม่ชักช้า
ทั้งนี้ สถาบันอุดมศึกษาอาจอุทธรณ์คำสั่งควบคุมได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งและรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการอุทธรณ์คำสั่งควบคุม เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณา ซึ่งกรณีอุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น คณะกรรมการควบคุมก็จะพิจารณาควบคุมต่อไป แต่หากอุทธรณ์ฟังขึ้น คณะกรรมการควบคุมก็จะพิจารณายกเลิกคำสั่งควบคุม โดยการควบคุม ม.เอแบค คาดว่าจะมีการออกคำสั่งควบคุมเร็วๆ นี้
แน่นอนว่า “ม.เอแบค” เป็น ม.เอกชนแห่งแรกที่ถูกควบคุมด้วยเหตุจากความขัดแย้งของผู้บริหารที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างกลุ่ม “ภราดาบัญชา แสงหิรัญ และภราดาสุรสิทธิ์ สุขชัย นายกสภา ฯ รวมถึงกรรมการสภาฯ อีกกลุ่ม” กับด้าน “ดร.สุทธิพร ปทุมเทวาภิบาล และกรรมการสภาฯ อีกกลุ่มหนึ่ง” ไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่าใครเป็นกลุ่มที่เหมาะบริหารมหาวิทยาลัย เมื่อทั้ง 2 ฝ่าย อ้างสิทธิ์ผู้บริหารตามกฎหมายด้วยกันทั้งสิ้น
การตั้งคณะกรรมการกลาง หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกเข้าไปควบคุมบริหารงาน แทนผู้บริหารดั่งเดิมของมหาวิทยาลัยย่อมไม่ใช่เรื่องดี โดยเฉพาะความเชื่อมั่น ภาพลักษณ์ แต่กรณีของ “ม.เอแบค” ก็ไม่ร้ายแรงถึงขั้นยกเลิกเพิกถอนใบอนุญาต เฉกเช่น มหาวิทยาลัยอีสาน หรือมอส. ม.เอกชน ที่ถูกมาตรฐาน 86 (4) วรรคสอง ถูกตั้งกรรมการควบคุม และปิดฉากลงอย่างถาวร
หากย้อนอดีตไปเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ม.เอกชน ที่ถูกใช้มาตรฐาน 86 (4) วรรคสอง จนเป็นข่าวคาว มีเพียง “มอส.” มหาวิทยาลัยฉาวซื้อขายวุฒิ ได้ขายใบประกาศนียบัตรบัณฑิตให้แก่นักศึกษาที่ต้องการเป็นครู (ป.บัณฑิต) จนพบทุจริตกลโกงอุดมศึกษา เอาผิดผู้บริหารพร้อมตั้งคณะกรรมการควบคุมเข้าไปช่วยบริหารงาน ช่วยเยียวยานักศึกษาให้ได้ใบรับปริญญา
ผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้าไปช่วยเยียวยานักศึกษา นำทีมโดย “ศ.เกียรติคุณ ดร.สุมนต์ สกลไชย" อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน ต่อมาเป็นผู้ชำระบัญชี มอส.ทำหน้าที่เคลียร์ปัญหาทั้งเรื่องการบริหารการศึกษา รวมถึงทรัพย์สิน หนี้สินต่างๆ ก่อน มอส.จะหมดสภาพการเป็นมหาวิทยาลัย
“มอส.” มีความชัดเจนแน่ชัด เป็นการจัดการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ เนื่องจากเปิดหลักสูตรเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง เพราะครุสภาไม่รับรองหลักสูตร ทำให้เด็กที่จบออกมาจำนวนมากไม่ได้รับปริญญา ก่อนนำไปสู่กระบวนการคืนความเป็นธรรมให้แก่นักศึกษา และเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งมหาวิทยาลัยอีสาน มีผลวันที่ 31 ตุลาคม 2555 นำไปสู่การสั่งปิดมหาวิทยาลัย และจำหน่ายทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อเอาเงินมาคืนนักศึกษาที่เสียค่าหน่วยกิต
เปรียบเทียบระหว่างกรณีของ “มอส. กับ ม.เอแบค” ว่ากันด้วยเหตุของการใช้ มาตรฐาน 86 (4) วรรคสอง ของทั้ง 2 สถาบัน ต้องยอมรับว่ามีความแตกต่างกันอย่าชัดเจน โดยในส่วนของ ม.เอแบค เป็นความขัดแย้งของเหล่าผู้บริหารภายใน ไม่ได้เข้าข่ายฉ้อโกงธุรกิจทางการศึกษาอย่าง มอส.ที่ไปเปิดจัดการศึกษานอกที่ตั้งไร้คุณภาพ เอาเปรียบนักศึกษา แต่ของ ม.เอแบค สะท้อนหลักธรรมาภิบาล ไม่ยอมกันของเหล่าผู้บริหาร
ถ้าวิเคราะห์ไปถึงการแก้ไขปัญหาของ ม.เอแบค ว่าจะไปทิศทางใด หลายฝ่ายมองว่า เป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ง่ายๆ ขอเพียงผู้บริหารทั้งสองฝ่าย “ต้องเปิดใจ จับเข่าคุยกัน ถอยคนละก้าว และกลับมาทบทวนแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพราะถ้าคิดว่าจะทำเพื่อมหาวิทยาลัยจริงๆ คงมีทางออกได้ไม่ยาก” หากทั้งสองฝ่ายยังเข้าข้างตนเอง มุ่งถูกผิดตามผลประโยชน์ของตนเอง ทางออก “ม.เอแบค” คงถึงทางตัน
สภาพปัจจุบันของ ม.เอแบค แม้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อนักศึกษาที่กำลังเรียนในทางกายภาพ “แต่ความรู้สึก การไว้วางใจ เชื่อมั่นต่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้สั่นคลอนอย่างแน่นอน” เพราะคงไม่มีใครอยากเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสีย ฉาวโฉ่ของเหล่าผู้บริหาร คงได้แต่หวังพึ่ง “คณะกรรมการควบคุม” ที่ “พล.อ.ดาว์พงษ์” วาดหวังเอาไว้ว่าคณะกรรมการควบคุมจะเข้าไปคัดเลือก ผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการอธิการบดี แก้ปมความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพื่อนำเอแบคกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่ร้อนระอุอย่างทุกวันนี้ คงต้องช่วยกันภาวนาให้มหากาพย์ชุลมุนของเหล่าผู้บริหารเอแบค ปิดฉากลง