ไลฟ์สไตล์

เหรียญที่ระลึกเสด็จประพาสยุโรป'ทองคำ!'

เหรียญที่ระลึกเสด็จประพาสยุโรป'ทองคำ!'

25 ม.ค. 2559

เหรียญที่ระลึกเสด็จประพาสยุโรป 'ทองคำ!' ที่สุดแห่งเหรียญอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และเป็นที่แสวงหา : เรื่อง/ภาพ ไตรเทพ ไกรงู

            การจัดสร้างเหรียญที่ระลึกขึ้นเป็นครั้งแรก ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โดยพระองค์โปรดให้สร้างขึ้นในวโรกาสที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเฉลิมพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๔๐๓ ที่คนไทยรู้จักกันดีว่า “เหรียญแต้เม้งทงป้อ” ซึ่งมีทั้งเหรียญเงินและเหรียญทอง

            ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระองค์ทรงละทิ้งความเชื่อดังเดิมว่า “การจำลองรูปภาพบุคคลลงบนสิ่งใดจะไม่เป็นมงคลต่อชีวิต” ด้วยการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูปของพระองค์ลงบนเหรียญที่ระลึกครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๓ ตรงกับวโรกาสการเฉลิมพระชนมายุครบ ๑๗ พรรษา คือเหรียญ สพปมจ ๕ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการนำพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ไทยประทับลงบน เหรียญกษาปณ์ ขณะเดียวกันยังถือว่าเป็นการสร้างเหรียญที่ระลึกตามแบบสากลอีกด้วย

            การจัดสร้างเหรียญที่ระลึกในสมัย รัชกาลที่ ๕ ถือว่าเป็นยุคทองของการสร้างเหรียญที่ระลึก นอกจากมีการนำพระบรมรูปมาเป็นแบบบนเหรียญแล้ว ยังมีการออกแบบเหรียญในรูปทรงต่างๆ ทั้งทรงกลม เหลี่ยม ดาว อีกด้วย และด้วยเหตุที่ในยุคนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองอย่างมากมาย

            “เหรียญที่ระลึกเสด็จประพาสยุโรป รัชกาลที่ ๕” เป็นเหรียญที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และเป็นที่แสวงหาของนักสะสมเป็นอย่างยิ่ง กรณีการจัดสร้างเหรียญประพาสยุโรป มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ คือ การเสด็จฯ ประพาสยุโรป ครั้งที่ ๑ ถือว่าเป็นเหรียญแห่งการรักษาอธิปไตยของชาติ ในการเสด็จฯ ประพาสยุโรปในครั้งแรกซึ่งตรงกับ พ.ศ.๒๔๔๐ นั้น กล่าวกันว่าพระองค์ทรงเกรงประชาชนจะเข้าใจผิดว่า พระองค์ทรงไม่ใส่ใจกับการพัฒนาบริหารประเทศ เอาแต่เที่ยวสนุกสนาน พระองค์ถึงกับทรงกล่าวปฏิญาณต่อหน้าพระสงฆ์ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าสาบาน โดยบางส่วนของคำปฏิญาณต่อหน้าพระสงฆ์ คือ

            “... ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนเฉพาะหน้าพระสงฆ์เถรานุเถระทั้งหลาย อันประชุมอยู่ ณ ที่นี้ว่า การที่ข้าพเจ้าคิดจะไปยุโรปในครั้งนี้ ด้วยข้าพเจ้ามุ่งต่อความดีแห่งพระราชอาณาจักร และด้วยความหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าตั้งใจจะรักษาตนให้สมควรแก่เป็นเจ้าของประชาชนทั้งปวง จะรักษาเกียรติยศแห่งราชอาณาจักรอันเป็นเอกราชนครนี้ จนสุดกำลังที่ข้าพเจ้าจะป้องกันได้...”

            ในการจัดสร้างเหรียญครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ๔ แบบ คือ ๑.เหรียญที่ระลึกในการเสด็จฯ ประพาสยุโรป มี ๔ เนื้อ คือ เนื้อทองคำ เนื้อเงินกะไหล่ทอง เนื้อเงิน และเนื้อบรอนซ์

            ๒.เหรียญประพาสมาลา มีลักษณะเหมือนเหรียญที่ระลึกในการเสด็จฯ ประพาสยุโรปทุกอย่าง แต่แตกต่างกันตรงที่มีห่วงติดแถบ

            ๓.เหรียญย่อมีลักษณะเหมือนเหรียญที่ระลึกในการเสด็จฯ ประพาสยุโรปทุกอย่าง แต่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง ๑๗ มม.เท่านั้น

            และ ๔.มีลักษณะเหมือนเหรียญที่ระลึกในการเสด็จฯ ประพาสยุโรปทุกอย่าง แต่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ถึง ๒๕ ซม. มีทั้งเนื้อเงินและเนื้อทองคำ

เหรียญเสาวภาฯ (เหรียญหมู)

            พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีชื่อเลื่องลือทางโหราศาสตร์ และประทานพรตามดวงเกิดสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี จนกลายเป็นสตรีที่ได้รับพระยศยิ่งใหญ่สูง สุดเหนือสตรีใดเมื่อดูแลสำเร็จราชการ ในพระนาม “สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ” ในคราวที่รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก พ.ศ.๒๔๔๐

            อีกทั้งยังทรงมีพระราชกุมาร-พระราชกุมารี ถึง ๑๔ องค์ ทรงเถลิงราชย์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ถึง ๒ องค์ด้วยกัน ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช ต่อมา แม้พระชนม์จะมากก็มีผู้อภิบาล และทูลเกล้าฯ ถวายโดยข้าราชการที่ร่วมเป็นสหชาติ (เกิดพร้อมพระองค์) ในคราวที่ทรงมีพระชนม์ได้ ๕๐ พรรษา แต่ท่านทรงเห็นว่าจะยุ่งยากไปจึงไม่รับ ทำให้ต้องคิดสิ่งอันเป็นประโยชน์เพื่อให้ทรงรับ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ พระยาพิพัฒ (เซเลสติโน ซาเวียร์) และพระราชสงคราม (กร หงสกุล) ซึ่งได้ร่วมกันคิดสร้าง “ก๊อกน้ำประปา” ถวาย และสร้าง “อนุสาวรีย์รูปหมู” ไว้ด้านข้างเป็นที่ระลึกด้วย

            มีข้อความจารึกว่า “เหตุที่สร้างรูปหมูขึ้นประดิษฐานก็เพราะเพื่อถวายเทิดพระเกียรติ ปีพระสหชาติปีกุน โดยราชวงศ์ปีกุนร่วมจัดสร้างถวาย” และเป็นที่น่าแปลกกล่าวคือ สมเด็จพระพันปีหลวงมิได้โปรดเลี้ยงสัตว์อื่นใดเลยนอก จาก “หมู” ที่เรียกว่า “หมูเสาวภา” เพียงตัวเดียว ซึ่งเป็นตัวเมีย เป็นพันธุ์ฝรั่งตัวใหญ่มีผู้ถวายคราวงานเฉลิมพระชนม์ มีผิวสีชมพูอ่อนสะอาดสะอ้าน (สีเหมือนเหรียญหมู) ขนขาวเป็นมันทั้งตัว ตาสีฟ้าอ่อน หูเป็นกลีบตั้ง ขนขาวปุกปุย โปรดให้เจ้าหน้าที่เลี้ยงไว้ทางประตูดินหลังพระบรมมหาราชวัง พระราชทานเบี้ยหวัดเงินปีเป็นค่าอาหารและกำหนดมิให้ผู้ใดมาทำหยามหยาบและกระทำอันตราย ต่อมาก๊อกน้ำได้ถูกรื้อทิ้งเหลือไว้เพียง “อนุสาวรีย์หมู” อยู่บริเวณถนนราชินี หลังกระทรวงมหาดไทยมีคลองหลอดคั่น

            สำหรับ “เหรียญหมู” สำคัญที่เล่นหากัน และเรียกได้ว่าแพงนั้น ได้จัดสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงสนิทเสน่หาในฐานะพระราชมารดาอย่างยิ่ง เมื่อทรงมีพระชนม์ครบ ๕๐ พรรษา จึงโปรดให้สร้างเหรียญที่ระลึกในการเฉลิมพระชนม์ พ.ศ.๒๔๕๖ มีทั้ง เนื้อทองคำลงยา เนื้อทองคำไม่ลงยา เนื้อเงินลงยา และเนื้อเงินไม่ลงยา

            ลักษณะเป็นเหรียญกลมแบน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๗ มม. ขอบเรียบคล้องห่วง ด้านหน้าทำเป็นรูปหมู มีทั้งผิวออกชมพูอ่อน สีขาว และสีชมพูแก่ ลงยาอย่างประณีต โดยมีทั้งแบบหมูตัวเดียวและสองตัว ยืนบนฐาน หันข้างไปทางซ้ายของเหรียญ บางตัวเห็นเขี้ยว ริมขอบมีข้อความว่า “ปีกุน พ.ศ.56 ของสิ่งเป็นที่รฤก” ด้านล่างจารึก “ว่าล่วงมาครบ 50 ปีบริบูรณ์”

            ส่วนด้านหลัง กลางเหรียญเป็นรูปจักรี มีข้อความว่า “ขอเชิญท่านจงจำรูปหมูนี้ คือ เสาวภา ซึ่งอุบัติมาเป็นเพื่อน” บรรทัดต่อมาด้านล่างจารึก “ร่วมชาติภพ อันมีใจหวังดีต่อท่านเสมอ” ทำเป็นแพรแถบแบบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามสมัยนิยม เข้าใจว่าคงสั่งทำจากต่างประเทศเพราะฝีมือประณีตมาก

เหรียญดุษฎีมาลา หรือ เหรียญทรงยินดี

            เหรียญดุษฎีมาลา หรือ เหรียญทรงยินดี เป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นที่ระลึก เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า เหรียญแพรแถบ เป็นเหรียญบำเหน็จความชอบในราชการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญดุษฎีมาลา เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๕ เนื่องในโอกาสครบรอบการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีมาเป็นเวลาครบ ๑๐๐ ปี เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

            เหรียญดุษฎีมาลา แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด ได้แก่ ทองคำ เงินกาไหล่ทอง เงินเปล่า และสำริด โดยเหรียญทั้ง ๔ ชนิดมีเกียรติเสมอกัน ลักษณะเหรียญเป็นรูปไข่ ด้านหน้ามีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานตรงกลาง มีอักษรตามขอบบนว่า “จุฬาลงกรณวหัส์ส ปรมราชาธิราชิโน” ขอบล่างเป็นใบชัยพฤกษ์ไขว้กัน

            ด้านหลังเป็นรูปพระสยามเทวาธิราชทรงพระขรรค์ยืนแท่นพิงโล่ห์ตราแผ่นดิน พระหัตถ์ขวาทรงพวงมาลัยจะสวมที่ตรงจารึกชื่อผู้ได้รับพระราชทาน ใต้แท่นมีเลข “๑๒๔๔” อันเป็นปีจุลศักราชที่สร้างเหรียญ และมีอักษรตามขอบว่า “สยามิน์ทร บรมราชตุฏ์ฐีป์ปเวทนํอิทํ” ริมขอบเหรียญจารึกอักษรว่า “สัพ์เพสํ สํฆภูตานํ สามัค์คีวุฏ์ฒิสาธิกา” บนเหรียญมีพระขรรค์ชัยศรีกับธารพระกรเทวรูปไขว้กัน มีห่วงยึดกับเหรียญและติดกับแผ่นโลหะจารึกว่า “ทรงยินดี”

            ขอบคุณภาพจาก “WWW.SOONPRARATCHADA.COM”