
เถาวัลย์เปรียงคำตอบของยาแก้ปวดที่ปลอดภัย
22 ม.ค. 2559
ดูแลสุขภาพ : เถาวัลย์เปรียงคำตอบของยาแก้ปวดที่ปลอดภัย
เถาวัลย์เปรียง หรือ เครือเขาหนัง เครือตาปลา เครือตับปลา เถาตาปลา พานไสน ย่านเหมาะ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Derris scandens (Roxb.) Benth. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) เป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบและปลายยอด ดอกย่อยมีสีขาวอมม่วงอ่อน คล้ายกับรูปดอกถั่ว ผลเป็นฝักแบนเล็ก ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
เถาวัลย์เปรียง เป็นสมุนไพรที่แพทย์แผนไทยรู้จักและมีการใช้กันมานาน มีปรากฏอยู่ในตำรายาแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในหลายคัมภีร์ และมีอยู่ในตำรายามากมาย โดยมักใช้เถ้าเป็นส่วนประกอบในตำรับยาแก้กษัย แก้เหน็บชา ถ่ายเส้นเอ็น ถ่ายกษัย แก้เส้นเอ็นขาด แก้เหมื่อยขบ ทำให้เส้นหย่อน แก้ปวด แก้ไข้ ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้โรคบิด แก้โรคหวัด แก้ไอ ขับเสมหะ เป็นต้น คนโบราณนิยมใช้เถาวัลย์เปรียงในการรักษาอาการตกขาว (ชนิดที่ไม่มีอาการคัน ไม่มีกลิ่น ไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว)
นอกจากนี้ยังมีการยืนยันประสิทธิภาพของเถาวัลย์เปรียง โดยการวิเคราะห์รวบรวมข้อมูลจากการวิจัยทางคลินิกหลายๆ การศึกษา และจากการใช้วิธีการทางสถิติเข้ามาทดสอบประสิทธิภาพ พบว่า สรรพคุณในการลดอาการปวดของเถาวัลย์เปรียงนั้น ไม่แตกต่างจากยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน (กลุ่ม NSAIDs)
โดยมีตัวอย่างการศึกษาวิจัยที่เป็นการยืนยันในสรรพคุณการลดอาการปวด ดังนี้
การศึกษาที่ 1 ทำการวิจัยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง จำนวน 70 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงขนาด 200 มิลลิกรัมต่อแคปซูล รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เปรียบเทียบกับยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน Diclofenac 25 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 7 วัน
การศึกษาที่ 2 ทำการวิจัยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อเข่า จำนวน 107 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงขนาด 400 มิลลิกรัมต่อแคปซูล รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เปรียบเทียบกับยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน Naproxen 250 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 28 วัน
การศึกษาที่ 3 ทำการวิจัยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อเข่า จำนวน 178 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงขนาด 250 มิลลิกรัมต่อแคปซูล รับประทานครั้งละ 4 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เปรียบเทียบกับยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน Ibuprofen 400 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 7 วัน
ซึ่งการศึกษาวิจัยทั้งหมดให้ข้อสรุปเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ เถาวัลย์เปรียงมีประสิทธิภาพในการลดอาการปวด ไม่แตกต่างจากยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน (กลุ่ม NSAIDs) ซึ่งสามารถนำไปพิจารณาเป็นทางเลือกในการรักษาให้แก่ผู้ป่วยที่มีอาการปวดได้
นอกจากนี้ ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้นำข้อมูลจากชาวบ้าน ในการใช้เถาวัลย์เปรียงรักษาอาการปวดเมื่อย ตึงตามร่างกาย และบำรุงสุขภาพ ไปทำการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า ไม่มีพิษเรื้อรังและพิษเฉียบพลัน จึงได้ผลิตในรูปแบบของแคปซูล เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชน ในการรักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยที่กรมวิทยาศาสตร์ฯ ยังพบว่า เถาวัลย์เปรียงมีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน จึงน่าจะเป็นยาบำรุงสุขภาพได้เช่นกัน
ตำรับยา
ยาประคบแก้ปวดเมื่อย ใช้ใบเถาวัลย์เปรียง ใบเถาเอ็นอ่อน บดรวมกัน นำไปทำลูกประคบแก้ปวดเมื่อย
ยาต้มแก้ปวดเมื่อย ใช้เถาของเถาวัลย์เปรียงสับเป็นแว่นบางๆ หรือชิ้นเล็กๆ นำไปคั่วไฟอ่อนๆ แล้วนำไปต้มดื่มต่างน้ำ
ยาแก้ตกขาว ใช้เถาวัลย์เปรียงสับเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มดื่มต่างน้ำ หรือวันละ 3 เวลา
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
โทร.0-3721-1289