
แกะสลักตะเคียนยักษ์2พันปีสื่อปริศนาธรรม
เจ้าคณะอำเภอบ้านแพงนครพนมนำตะเคียนยักษ์ 2,000 ปี แกะสลักพระพุทธปางนอนเผยสืบทอดศาสนาหนุนท่องเที่ยวธรรมะ
เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2559 กลายเป็นข่าวฮือฮาสำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยว ภายหลังจากพระครูปิยคามเขตคณาภิรักษ์ หรือพระอาจารย์จินดา อายุ 45 ปี เจ้าคณะอำเภอบ้านแพง จ.นครพนม เจ้าอาวาสวัดปทุมมารามบ้านนาเข หมู่ 1 ต.นาเข อ.บ้านแพง จ.นครพนม มีไอเดียนำไม้ตะเคียนทองยักษ์ อายุราว 2,000 ปี ขนาดความยาวประมาณ 20 เมตร เส้นรอบวงโคลนต้น ประมาณ 5 เมตร ซึ่งเป็นไม้ตามความเชื่อว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเทวดาอารักษ์ปกปักษ์รักษา รวมถึงมีนางตะเคียนสิงสถิตย์ มาเก็บรักษาไว้ภายในวัด
พร้อมออกแบบจากแนวความคิดให้ช่างแกะสลักไม้มาแกะสลักเป็นภาพนูนสูงตลอดลำต้นไม้ตะเคียนยักษ์ ประกอบด้วย รูปพระพุทธเจ้าปางปรินิพพาน 2 ด้าน รวมไปถึงภาพภาพพุทธประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการออกผนวช แสดงธรรมเทศนาโปรดมนุษย์ ผสมผสานกับภาพสัตว์ในวรรณคดี รวมถึงหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ไปจนถึงการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ สอดแทรกด้วยภาพสัจธรรมของชีวิต ที่ปัจจุบันกำลังยึดติดกับเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าที่จะเป็นสื่อให้ประชาชน และนักท่องเที่ยว ได้มากราบไหว้ เพราะยังเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของต้นตะเคียน ควบคู่กับการชื่นชมลวดลายแกะสลัก แฝงสั่งสอนด้วยปริศนาธรรมในตัว ที่สำคัญยังเป็นการสร้างจิตสำนักให้คนเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา
เนื่องจากปัจจุบันคนในสังคมกำลังหลงอยู่กับอบายมุข โดยในการแกะสลักจะเน้นให้มีความสวยงามแบบธรรมชาติ และลงตัวกับสภาพของต้นตะเคียนทองยักษ์ให้มากที่สุด ซึ่งจะมีการแกะสลักแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านที่มีการลงสีสันความสวยงาม อีกด้านจะเน้นความเป็นธรรมชาติของไม้ตะเคียน ให้มากที่สุด สื่อถึงสัจธรรมของชีวิต เมื่อเกิดมาแล้ว สุดท้ายไม่มีอะไร นอกจากความดี และใช้เวลาในการแกะสลักนานเกือบ 2 ปี
โดยจากการสอบถามพระสุเทพ ธรรมวโร อายุ 39 ปี พระลูกวัดที่ดูแลวัด เล่าถึงที่มาของต้นตะเคียนยักษ์ว่า เดิมพระครูปิยคามเขตคณาภิรักษ์ หรือพระอาจารย์จินดา ซึ่งเป็นพระที่มีความรู้ความสามารถ เป็นที่เคารพศรัทธาโดย อุปสมบท ศึกษาเล่าเรียนมานานกว่า 26 พรรษา จนได้รับตำแหน่งเจ้าคระอำเภอบ้านแพง จ.นครพนม ก่อนจะมาพัฒนาดูแลวัดแห่งนี้ ที่เป็นบ้านเกิดต่อจากเจ้าอาวาสรูปค์เดิม จนกระทั่งมีความตั้งใจว่าจะสร้างอุโบสถ แต่ต้องการทำด้วยไม้ เพื่อให้เกิดความสวยงาม หาดูได้ยากให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชม กราบไหว้ ทำบุญเป็นที่มาของการเกิดนิมิต มีผู้หญิงคนหนึ่งมาบอกว่า ต้องการที่จะมาอยู่อาศัยในวัดช่วยพัฒนาวัด ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา
ต่อมาไม่นานได้เกิดความบังเอิญได้มีชาวบ้านมาบอกว่า มีคนพบไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ที่ห้วยบางทราย จ.มุกดาหาร เมื่อปี 2554 จึงเกิดความแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตามนิมิต และมีความคิดว่าจะไปดู และอยากได้ไม้ตะเคียนต้นดังกล่าวมาไว้ที่วัด เพราะเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในนิมิต แต่หลังจากการไปดูแล้วพบว่า ไม้มีขนาดใหญ่มาก ความยาวประมาณ 20 เมตร ขนาดความกว้างรอบลำต้นประมาณ 5 เมตร โดยเชื่อว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี จึงได้พยายามขอรับการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธา เคลื่อนย้ายไม้ตะเคียนยักษ์ต้นนี้มาไว้ที่วัด ซึ่งต้องมีการผ่านกระบวนการทางกฎหมายหลายขั้นตอน ถึงนำมาไว้ที่วัดได้
ภายหลังทางพระครูเจ้าอาวาส จึงได้เกิดความคิดว่า การนำไม้ตะเคียนมาไว้ที่วัดเพียงอย่างเดียวคงไม่เกิดจุดสนใจ จึงเกิดความคิดที่จะทำการแกะสลักไม้ตะเคียนเพื่อให้เกิดความขลัง และศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น จึงได้หารือกับช่างแกะสลักมาลงมือแกะสลัก โดยเป็นคนออกแบบด้วยตนเอง ให้ช่างลงมือแกะสลัก เนื่องจากมีความรู้พื้นฐาน และชอบศึกษาเกี่ยวกับงานศิลปะมาอยู่แล้ว ซึ่งได้กำหนดแกะสลักให้ต้นตะเคียนเป็นรูปพระพุทธเจ้าปางปรินิพพาน 2 ด้าน รวมไปถึงภาพภาพพุทธประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการออกผนวช แสดงธรรมเทศนาโปรดมนุษย์ ผสมผสานกับภาพสัตว์ในวรรณคดี รวมถึงหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ไปจนถึงการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ สอดแทรกด้วย ภาพสัจธรรมของชีวิต ด้านหนึ่งจะมีการลงสีให้สวยงามส่วนอีกด้านจะคงเป็นสภาพเดิมให้เห็นลักษณะความสวยงามของเนื้อไม้ และแก่นแท้ของไม้ตะเคียนสื่อความหมายระหว่างความสำคัญของพระพุทธศาสนา กับสังคมยุคปัจจุบันให้ประชาชน ที่ได้มาเยี่ยมชมเกิดความคิด มีความหมายในตัวแฝงด้วยปริศนาธรรม
“โดยเป้าหมายที่แกะสลักภาพลงบนไม้ตะเคียนต้นนี้ ต้องการที่จะสร้างจุดสนใจให้กับผู้ที่มาพบเห็นได้สำนึกในหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิต ที่จะนำไปปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันให้มีความสงบสุข และช่วยกันทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาภายใต้ความขลังของไม้ตะเคียนทอง ที่เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธ์ รวมถึงได้มากราบไหว้บูชาเป็นสิริมงคลตามความเชื่อ นอกจากนี้ ยังจะได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาที่สำคัญของ จ.นครพนม ต่อไปในอนาคต จึงขอเชิญชวนญาติโยมเดินทางมาเที่ยวชม กราบไหว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคล” พระครูปิยคามเขต กล่าว