
ใครค้าน-ใครหนุนแช่แข็งสสส.
ใครค้าน-ใครหนุนแช่แข็งสสส. : ทีมข่าวรายงานพิเศษ
เมื่อ “ชมรมแพทย์ชนบท” ออกหน้าเป็นแกนนำขับเคลื่อนให้ “คสช.” ยกเลิกการ “บอนไซ” หรือ “แช่แข็ง สสส.” เวทีการตรวจสอบหรือเรียกกันว่า ยุทธการล้างบาง กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น...
ช่วงเช้าวันที่ 11 มกราคม กลุ่มคนทำงานภาคประชาชนกว่า 20 เครือข่ายเข้าร่วมประชุมในนาม “ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน“ (Thai Health Promotion Movement) จุดประสงค์เพื่อหาทางปกป้องไม่ให้ สสส. โดนรุมหรือโดนตรวจสอบอย่างไม่เป็นธรรม ระหว่างการประชุมไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าฟัง โดยช่วงเที่ยงได้เปิดแถลงข่าว สรุปใจความสำคัญ 3 ประการคือ
1.การใช้ ม.44 สั่งปลดบอร์ดของสสส.ทั้ง 7 คน เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ถือว่าไม่ชอบธรรมเนื่องจากไม่พบการทุจริต และไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่ รัฐบาลต้องคืนความเป็นธรรมให้แก่คณะกรรมการทุกท่าน เพื่อกู้เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ฯลฯ
2.กรณีระงับโครงการงบประมาณเกิน 5 ล้านบาท จำนวน 515 โครงการ รวมเงิน 1,643 ล้านบาท ทำให้เกิดผลกระทบคนทำงานในองค์กรต่างๆ ประมาณ 5,200 คน และมากกว่า 3,400 คนขาดงบประมาณดำเนินการ ไม่ได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนานเกิน 3 เดือน หากรวมอาสาสมัครคาดว่าน่าจะเกิน 1 หมื่นคน ดังนั้นขอให้รีบสนับสนุนงบประมาณในโครงการต่างๆ
3.ปัญหาไล่เบี้ยเก็บภาษีมูลนิธิและและองค์กรต่างๆ ที่ร่วมปฏิบัติงานกับสสส.
เกิดขึ้นจากกรณี “กรมสรรพากร” ไล่เรียกเก็บภาษีย้อนหลังมูลนิธิและองค์กรต่างๆ ย้อนหลัง 5 ปี โดยตีความว่าผู้ที่ทำงานกับสสส. “เป็นสัญญาจ้างทำของ” ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 3 และต้องติดตราสารอากรในอัตรา 1 บาท ต่อทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท (0.001%) พร้อมเบี้ยปรับ 5-6 เท่า ของงบประมาณ
การดำเนินการไล่เบี้ยเก็บภาษีจากองค์กรสาธารณประโยชน์ดังกล่าวถือเป็นการคุกคามการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมอย่างร้ายแรงซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน
ขอให้หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน กรมสรรพากร และสรรพากรจังหวัดทุกจังหวัด ยุติการคุกคามองค์กรต่างๆ และขบวนการส่งเสริมสุขภาพภาคประชาชนจะร่วมมือกันฟ้องร้องเพื่อยกเลิกประกาศกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
3 ประเด็นข้างต้น เสมือนการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ !?!
ที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของ สสส. พบว่าบางโครงการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนตาม “พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544” จนทำให้ “ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์” ผจก.กองทุน สสส. ต้องขอลาออก เพื่อเปิดทางให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างเต็มที่
ห้วงเวลานั้น ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองพยายามเข้ามาเจรจากับกลุ่มผู้มีอำนาจ แต่สุดท้ายยืดเวลาไปได้เพียงไม่กี่เดือน ในที่สุดวันที่ 5 มกราคม 2559 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ใช้มาตรา 44 สั่งให้คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ “บอร์ด สสส.” จำนวน 7 คน ออกจากตำแหน่ง
“ฝ่ายสนับสนุน สสส.” ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว คณะทำงานโครงการต่างๆ กว่า 4 พันโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก สสส. พยายามรวมตัวกันเพื่อกดดันไม่ให้ คสช.หรือกลุ่มการเมือง เข้ามาทำลาย สสส. แต่ดูเหมือนผู้บริหาร สสส.จะขอยับยั้งเอาไว้ เนื่องจากมองว่าการเคลื่อนไหวในวงกว้างอย่างเปิดเผยอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ อยากให้ทุกฝ่ายวิธีเดินเกมเจรจาทางลับอย่างเป็นส่วนตัวกับผู้นำประเทศมากกว่า
แต่ในที่สุดการเจรจาทางลับก็ล้มเหลว จึงเปิดทางให้ “ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน” จัดการเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 มกราคม
จากการสอบถามแกนนำ “กลุ่มสนับสนุน สสส.” ส่วนใหญ่ยอมรับว่า หากไม่เคลื่อนไหว การทำงานของ สสส.ที่ต่อสู้กับพวกเครือข่ายเหล้าและบุหรี่คงหยุดชะงัก กลุ่มอบายมุขจะเข้ามาครอบงำสังคมไทยมากกว่าเดิม นอกจากนี้กิจกรรมและโครงการสุขภาพเพื่อรากหญ้าจะถูกตัดงบช่วยเหลือไปด้วย เพราะที่ผ่านมากลุ่มเหล่านี้ได้เงินบางส่วนจาก สสส.ไปช่วยทำให้กิจกรรมดำเนินต่อไปได้ เพราะกิจกรรมเหล่านี้ภาครัฐบาลไม่เคยเหลียวแลหรือให้ความสนใจ รวมถึงกิจกรรมของกลุ่มแรงงานหรือกลุ่มคนทำงานด้านปฏิรูประบบประกันสังคมด้วย
ขณะที่ “ฝ่ายค้านสสส.” หรือฝ่ายเห็นด้วยกับแช่แข็ง หรืออยากให้ตรวจสอบ สสส.เสนอข้อมูลน่าสนใจว่า 13 ปีที่ผ่านมา สสส.ทำงานโดยไม่มีส่วนร่วมในการอนุมัติโครงการจากฝ่ายอื่น มีเพียงคนภายในตัดสินกันเอง และบางกิจกรรมไม่ตรงตามวัตถุประสงค์เพื่อสุขภาวะหรือสุขภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่ากิจกรรมที่ผ่านการสนับสนุนของ สสส. ไม่กระจายไปยังองค์กรใหม่หรือรายใหม่ มีเพียงกลุ่มคนเดิมๆ รับทุนซ้ำหน้า ดังที่เรียกกันว่า “กลุ่มหมอ สสส.” โดยเฉพาะเมื่อตรวจสอบพบว่า กลุ่มบอร์ด สสส. ไปเป็นคณะกรรมการมูลนิธิหรือหน่วยงานอื่น แล้วเอาเงิน สสส.ไปให้มูลนิธิตนเองทำกิจกรรม แม้ว่าจะไม่ผิดระเบียบแต่ถือว่า “ไม่สง่างาม”
จากความคิดเห็นของทั้ง 2 ฝ่ายนั้น “ฝ่ายสนับสนุน สสส.” มีมวลชนเป็นแนวร่วม โดยเฉพาะกลุ่ม 5 เครือข่ายสำคัญคือ
1.ชมรมแพทย์ชนบท เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค เครือข่ายงดเหล้าและบุหรี่
2.เครือข่ายหมออนามัย เครือข่ายผู้ป่วย เครือข่ายสุขภาวะทางเพศ เครือข่ายสุขภาวะผู้หญิง/
3.เครือข่ายเด็ก เยาวชนฯ เครือข่ายผู้พิการ เครือข่ายผู้สูงอายุ
4.เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน เครือข่ายแรงงาน เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายชาติพันธุ์ฯ เครือข่ายชุมชนท้องถิ่น
5.เครือข่ายเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร และเครือข่ายนักวิชาการสุขภาพ
ส่วน “ฝ่ายคัดค้าน สสส.” แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการอนุมัติโครงการที่ผ่านมา เช่น กลุ่มหมอที่ไม่ได้อยู่ในมูลนิธิของบอร์ด สสส. รวมถึงกลุ่มเอ็นจีโอที่ไม่เห็นด้วยกับการทำงานบางกิจกรรม และกลุ่มผู้มีอำนาจอย่างเป็นทางการ ได้แก่ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ในฐานะ “ฝ่ายหาข้อมูลเชิงลึก” เมื่อผลการตรวจสอบเป็นอย่างไร ส่งต่อให้ “ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ” (ศอตช.) เป็นฝ่ายตัดสินว่าจะดำเนินการอย่างไร
หากพิจารณาผลงาน สสส.ที่ผ่านมา การรณรงค์ลดเหล้าและบุหรี่ได้ผลอย่างชัดเจน กลายเป็นคำพูดติดปากว่า “ให้เหล้าเท่ากับแช่ง” หรือ “ควันบุหรี่ทำร้ายคนรอบข้าง” จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการล้างบางหรือแช่แข็ง สสส.อาจคือ “กลุ่มธุรกิจสุราและยาสูบ” เพราะเสียผลประโยชน์ไปมหาศาล
ล่าสุด มีการวิเคราะห์เชิงลึกว่า กลุ่มที่น่ากลัวและกำลังจะเข้ามามีอิทธิพลใน “บอร์ด สสส.” ชุดใหม่นั้น อาจเป็น “กลุ่มธุรกิจอาหาร” เพราะในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สสส.มีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับรณรงค์อาหารปลอดภัย กิจกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ ฯลฯ ทำให้เกิดความหวาดกลัวจากบริษัททุนยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร ที่กำลังครอบงำกลุ่มเกษตรกรและพื้นที่เกษตรกรรมทั่วประเทศไทย
วันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สธ. ในฐานะรองประธานบอร์ด สสส. กล่าวย้ำอย่างหนักแน่นว่า "โครงการต่างๆ ที่รับทุนจาก สสส. หากถูกต้อง น่าจะดำเนินการต่อไปได้เลย ยืนยันว่า ไม่มีการล้ม สสส."
เมื่อไม่มีการล้ม สสส. จุดสำคัญที่สังคมต้องจับตามองคือ ใครจะเข้ามาเป็น “กรรมการสรรหาบอร์ด สสส.” และ “บอร์ด 7 คน” ที่ถูกสรรหาเข้ามานั้น ใครเป็นใคร ต้องช่วยกันจับจ้องให้ดีอย่ากะพริบตา เพราะนอกจากไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเหล้า-บุหรี่แล้ว ยังต้องโปร่งใสไม่ข้องเกี่ยวกับวงการธุรกิจอาหารและกลุ่มธุรกิจเกษตรข้าม ชาติด้วย



