ไลฟ์สไตล์

สถานการณ์ภาคเกษตรไทยหลังเออีซี

สถานการณ์ภาคเกษตรไทยหลังเออีซี

01 ม.ค. 2559

บทความพิเศษ : สถานการณ์ภาคเกษตรไทยหลังเออีซี : โดย ... รศ.สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอวุโสสถาบันคลังสมองของชาติ

 
                     การรวมตัวกันของประเทศสมาชิก 10 ประเทศภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นเป็นประชาคมอาเซียน เป็นหนึ่งเดียวภายใต้กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี มีผลบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งวันที่ 31 ธันวาคม 2558 และนับจากต้นปี 2559 เป็นต้นไป ทุกประเทศต้องปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมกันที่จะเปิดเสรีทั้งด้านการค้าและการลงทุนเชื่อมต่อกันภายในภูมิภาคเกิดการรวมกันเป็นฐานการผลิตและการเป็นตลาดอันเดียวกัน ซึ่งภาคการเกษตรเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดเสรีด้านตลาดการค้าและการลงทุน
 
                     อาเซียนมีพื้นที่การเกษตรโดยรวมประมาณ 793 ล้านไร่ ในจำนวนนี้ประเทศอินโดนีเซียมีพื้นที่การเกษตรมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 42.9 ของพื้นที่การเกษตรของอาเซียน รองลงมา 4 ลำดับ ได้แก่ประเทศไทย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม (ซึ่งมีพื้นที่การเกษตรของ 4 ประเทศรวมกันคิดเป็นร้อยละ 44.55) สำหรับประเทศสิงคโปร์และบรูไนเกือบจะไม่มีพื้นที่การเกษตรเลย หรือมีในจำนวนน้อยมาก ส่วนประเทศลาวและกัมพูชามีพื้นที่รวมกันเพียงร้อยละ 6.32
 
 
 
ไทย-เวียดนามรายใหญ่ผลิตข้าว
 
 
                     ข้าวเป็นพืชอาหารหลักของประชากรในอาเซียนและเอเชียพื้นที่การเกษตรของอาเซียนจึงถูกนำมาใช้ในการผลิตข้าวมากที่สุด องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติรายงานว่าในปี 2557 มีพื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวประมาณ 304.73 ล้านไร่และมีผลผลิตรวม 209.89 ล้านตันข้าวเปลือกหรือ 117 ล้านตันข้าวสาร ในจำนวนนี้มีการใช้บริโภคภายในภูมิภาค 103 ล้านตันข้าวสาร และมีผลผลิตส่วนเกินที่จะต้องส่งออกไปนอกภูมิภาค 14 ล้านตันประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญของอาเซียนได้แก่ไทยและเวียดนาม ส่วนเมียนมาร์และกัมพูชามีปริมาณการส่งออกไม่มากนัก สำหรับสปป.ลาว ผลิตได้พอกินพอใช้ภายในประเทศเป็นสำคัญ ส่วนประเทศผู้นำเข้าข้าวที่สำคัญในอาเซียนได้แก่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ซึ่งผลิตได้ไม่เพียงพอ สำหรับสิงคโปร์และบรูไนก็ต้องนำเข้าข้าวเช่นกันเพราะเกือบจะไม่มีการใช้พื้นที่ปลูกข้าวในประเทศทั้งสอง
 
                     อย่างไรก็ตามภายใต้นโยบายการค้าเสรีในอาเซียนนั้นสินค้าข้าวยังเป็นสินค้าที่อยู่ในกลุ่มของสินค้าที่มีความอ่อนไหวสูงสำหรับประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่ยังคงภาษีนำเข้าสินค้าข้าวไว้ที่ระดับหนึ่งพร้อมๆ กับการกำหนดโควตาของการนำเข้าทั้งภายใต้กลไกของรัฐและเอกชนทำให้การค้าสินค้าข้าวในอาเซียนยังไม่เป็นการค้าเสรีภายในประเทศสมาชิกอย่างแท้จริง แม้ว่าจะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2559 ก็ตาม
 
 
 
อินโดฯ-มาเลเซีย เจ้าพ่อปาล์มน้ำมัน
 
 
                     อาเซียนนอกจากการเป็นแหล่งผลิตพืชอาหารแล้วยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมที่สำคัญของโลกอีกด้วยโดยเฉพาะสินค้ายางพารา อาเซียนเป็นแหล่งผลิตยางธรรมชาติได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกโดยมีปริมาณการผลิต 8.73 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 73 ของผลผลิตยางธรรมชาติของโลก ในจำนวนนี้เป็นผลผลิตจากไทยสูงสุด รองลงมาได้แก่อินโดนีเซียและมาเลเซีย ผลผลิตยางธรรมชาติดังกล่าวในอาเซียนส่วนมากเป็นการส่งออกไปนอกอาเซียนในรูปของวัตถุดิบทำให้ทั้งสามประเทศเป็นคู่แข่งทางการค้าในตลาดส่งออกนอกอาเซียน ในส่วนของปาล์มน้ำมันอาเซียนเป็นแหล่งผลิตปาล์มน้ำมันแหล่งใหญ่ของโลกประมาณ 228.58 ล้านตัน หรือร้อยละ 86.53 ในจำนวนนี้มีอินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่หรือร้อยละ 94 ของผลผลิตปาล์มในอาเซียนทั้งหมดและทั้งสองประเทศเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ในตลาดการค้าน้ำมันปาล์มของโลกด้วยเช่นกัน
 
 
สถานการณ์ภาคเกษตรไทยหลังเออีซี
 
 
 
มัน-อ้อยไทยผลิดมากที่สุด-เวียดนามผู้นำกาแฟ
 
 
                     สำหรับมันสำปะหลังอาเซียนมีผลผลิต 76.53 ล้านตัน หรือมีสัดส่วนร้อยละ 29 ของผลผลิตมันสำปะหลังโลก ทั้งนี้มีไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ประมาณร้อยละ 40 และรวมถึงการเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก โดยส่งออกในรูปของผลิตภัณฑ์มันเส้นและมันอัดเม็ดซึ่งเป็นการแปรรูปขั้นต้น การนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และเอทานอลมีไม่มากนัก ส่วนเวียดนามและอินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตรองลงไป
 
                     การผลิตอ้อยโรงงานในอาเซียนมีปริมาณ 192.3 ล้านตัน และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายเป็นหลักสำคัญ ในจำนวนนี้ไทยเป็นแหล่งผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายรายใหญ่ของอาเซียน ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ที่มีผลผลิตอ้อยรองลงมาได้แก่ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียตามลำดับ สำหรับสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอาเซียนมีการผลิตประมาณ 39.88 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.92 ของผลผลิตข้าวโพดโลก ในจำนวนนี้มีอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญ โดยผลผลิตส่วนใหญ่จะใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมแป้งข้าวโพดและการผลิตอาหารสัตว์ปีกซึ่งมีการผลิตและใช้ในแต่ละประเทศและในอาเซียนเป็นสำคัญนอกจากพืชที่กล่าวถึงดังกล่าวแล้วการผลิตกาแฟโดยเฉพาะจากประเทศเวียดนามได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกอันดับสองของโลกรองจากบราซิล
 
 
 
สิ้นค้าจากภาคปศุสัตว์-ประมงไทยนำ
 
 
                     ส่วนการผลิตพืชผักและผลไม้การผลิตปศุสัตว์และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำส่วนมากจะใช้ภายในประเทศสมาชิกและภายในภูมิภาคอาเซียนเป็นสำคัญ มีการส่งออกไปยังตลาดทั้งในอาเซียนและนอกอาเซียนบ้างแต่มีมูลค่าไม่มากนักทั้งนี้เพราะในแต่ละประเทศจะมีมาตรฐานและความปลอดภัยของตนเองซึ่งในหลายกรณีได้ใช้มาตรฐานและความปลอดภัยดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการจำกัดการค้าระหว่างกันในกรณีของสัตว์ปีกแปรรูปและสินค้าสัตว์น้ำแปรรูปพบว่าประเทศไทยเป็นผู้นำในการส่งออกสินค้าเนื้อไก่สดและแปรรูปและสินค้าสัตว์น้ำแปรรูปโดยเฉพาะกุ้งสดแปรรูปและรวมถึงอาหารทะเลกระป๋องไปยังตลาดอาเซียนและนอกอาเซียน ส่วนเวียดนามมีการผลิตสินค้าเนื้อปลาสวายจากการเพาะเลี้ยงส่งออกทั้งในตลาดอาเซียนและนอกอาเซียนสร้างมูลค่าได้จำนวนมากเช่นกัน
 
 
 
ถั่วเหลือง-ข้าวสาลีต้องนำเข้า
 
 
                     สินค้าเกษตรที่ต้องนำเข้าอย่างมากในอาเซียนได้แก่ข้าวสาลีและถั่วเหลือง เป็นต้น ภูมิอากาศและสภาพภูมินิเวศที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้ประเทศในอาเซียนไม่สามารถผลิตข้าวสาลีให้เป็นพืชเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้การผลิตถั่วเหลืองของหลายประเทศแม้จะมีการเพาะปลูกกันบ้างแต่อุปทานของผลผลิตมีไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ทั้งการใช้ประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมโดยเฉพาะการผลิตน้ำมันพืชจากถั่วเหลืองและอุตสาหกรรมอาหารสัตว์จึงต้องนำเข้า
 
                     ในอีกด้านหนึ่งของพันธะข้อตกลงสู่ตลาดการค้าเสรีอาเซียนนั้น มีข้อตกลงว่าด้วยมาตรฐานสินค้าและความปลอดภัยภายในภูมิภาคหรือที่เรียกว่า อาเซียน สแตนดาร์ด ซึ่งแต่ละประเทศมีความจำเป็นจะต้องพัฒนามาตรฐานสินค้าของแต่ละประเทศสมาชิกให้เข้าสู่มาตรฐานอาเซียน ในกลุ่มของสินค้าเกษตรและอาหารมีการร่วมกำหนดมาตรฐานระดับความปลอดภัยและการตรวจสอบสินค้านำเข้าเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชและให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งประกอบด้วยมาตรฐานตัวสินค้าตามชนิดของสินค้า เช่น มาตรฐานทุเรียน มะม่วง สับปะรด มะละกอ เงาะ มังคุด เป็นต้น
 
 
สถานการณ์ภาคเกษตรไทยหลังเออีซี
 
 
 
ทุกประเทศต้องพัฒนามาตรฐานสินค้า
 
 
                     มาตรฐานระบบเช่นมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อาเซียน (อาเซียน ออแกนิก สแตนดาร์ด) มาตรฐานการปฏิบัติการเกษตรที่ดีอาเซียน (อาเซียน จีเอพี) และรวมถึงมาตรฐานเกี่ยวกับสารพิษตกค้างซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มมาตรฐานทั่วไปทั้งนี้มาตรฐานดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานสินค้าและความปลอดภัยในกลุ่มของประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็นอันหนึ่งอันเกียวกันและนำไปสู่การเชื่อมโยงและยกระดับการค้าทั้งในภูมิภาคและระหว่างภูมิภาคให้เกิดความเชื่อถือและเกิดการขยายตัวทางการค้าสินค้าเกษตรและอาหารตามมา
 
                     การนั้นการเป็นประชาคมอาเซียนแม้จะสร้างความหวังของการเป็นฐานการผลิตและการตลาดอันเดียวกัน พร้อมกับมีการยกระดับมาตรฐานสินค้าและความปลอดภัยให้เป็นมาตรฐานเดียวกันแล้วก็ตาม แต่การที่ประเทศสมาชิกในภูมิภาคยังมีองค์ประกอบของเกษตรกรขนาดเล็กเป็นจำนวนมากอยู่ในภาคการเกษตร อีกทั้งการผลิตสินค้าเกษตรหลักๆ ของประเทศสมาชิกทั้งหลายมีลักษณะของสินค้าที่คล้ายคลึงกันและเป็นสินค้าที่แข่งขันกันในตลาดจึงอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวของภาคการเกษตรและเกษตรกรของแต่ละประเทศการปรับตัวดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าประเทศสมาชิกในอาเซียนจะร่วมมือพัฒนาทำให้กลไกตลาดภายในอาเซียนทำงานได้อย่างเสรีในการจัดสรรทรัพยากรการผลิตและการกระจายสินค้าให้เป็นกลไกตลาดอันเดียวกันได้อย่างไร
 
                     หากอาเซียนทำข้อจำกัดดังกล่าวให้เกิดเป็นผลสำเร็จได้ย่อมเชื่อได้ว่าภาคการเกษตรของอาเซียนจะสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นภาคที่มีความมั่งคั่งและสร้างความยั่งยืนให้แก่เกษตรกรตามมา
 
 
 
 
---------------------
 
(บทความพิเศษ : สถานการณ์ภาคเกษตรไทยหลังเออีซี : โดย ... รศ.สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอวุโสสถาบันคลังสมองของชาติ)