
นิวยอร์กเมืองเสรีภาพ : ชิค & ชิล
นิวยอร์กเมืองเสรีภาพ : ชิค & ชิล
เทพีเสรีภาพ ยืนสง่าถือคบเพลิงไฟสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพ โชติช่วงอยู่ปากอ่าวฮัตสัน เส้นทางจุดผ่านด่านเข้าสู่โลกใหม่ แผ่นดินใหม่ ที่ใช้เวลาเพียง 200 ปี ก็ก้าวสู่การเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก
เทพีเสรีภาพ ถือเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกระดับเทียบเท่าภาพวาดโมนาลิซ่าและเทพีวีนัส สตรีที่งามที่สุดในโลกถือเป็นสตรีแกร่งแห่งยุคปัจจุบันที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้เป็นของขวัญแก่ชาวอเมริกัน ในวาระครบรอบ 100 ปี ของการก่อตั้งประเทศที่เกิดใหม่ในแผ่นดินใหม่ของทวีปอเมริกา มีนัยที่ว่า ผู้หญิงคือแม่ผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ นั่นคือประเทศสหรัฐอเมริกา
ก่อนวันที่ได้ประกาศอิสรภาพจากดินแดนอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรป กองทัพฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญในการกู้เอกราช ปลดปล่อยประเทศนี้ให้มีเสรีภาพเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยระบอบการปกครองที่แตกต่างจากยุคเก่าโดยสิ้นเชิง
วันนี้ เทพีเสรีภาพได้รับการอารักขาตรวจสอบอย่างเข้มงวด ไม่ยอมให้ใครมาก่อการร้าย สตรีผู้นี้ในสหรัฐอเมริกาได้ ก่อนเดินทางขึ้นเรือข้ามไปต้องผ่านการตรวจอย่างเข้มๆๆๆ ถอดทุกชิ้นให้เจ้าหน้าที่ตรวจไม่ให้เล็ดลอดไปได้ จึงพบว่าไม่เคยมีเหตุร้ายใหญ่อีกเลยหลัง 9/11 ถล่มอาคารคู่เวิลด์เทรด หรือซีโร่กราวน์ในวันนี้ ที่มีแต่ซากอาคารไว้ให้รำลึกถึงในรูปแบบก้างปลาเช่นเดียวกับตึกแพนตากอนที่วอชิงตัน
เมืองนิวยอร์ก มีการเปลี่ยนแปลงวางผังเมืองที่เก่าและยุ่งเหยิง ให้น่าอยู่มากขึ้น เห็นได้ชัดจากย่านเวสต์ไซต์สตอรี่ แหล่งสลัมท่าเรือริมแม่น้ำฮัตสัน ที่เคยเป็นที่อยู่ของกรรมกร คนยากจน แหล่งอาชญากรรม ถูกปรับเปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะที่สวยงาม เป็นพื้นที่ที่ชาวนิวยอร์กภูมิใจ ยกระดับจากแหล่งเสื่อมโทรม กลายเป็นที่พื้นที่ให้ชาวเมืองได้พักผ่อน ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ที่ได้รับความนิยมมากของชาวเมืองนิวยอร์เกอร์มาก ยิ่งในช่วงฤดูร้อน จะสดใสเป็นพิเศษด้วยดอกไม้สีสันสวยงาม
จุดท่าเรือ ที่เคยเป็นด่านเข้าเมือง ถูกปรับเป็นท่าเรือรับนักท่องเที่ยวลงเรือไปยังเกาะเทพีเสรีภาพ บริเวณอ่าวฮัตสัน จุดที่แม่น้ำฮัตสันของเมืองที่แยกเป็นสองสายไหลออกสู่ทะเล ไม่ไกลจากบริเวณที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์การแสวงหาเสรีภาพของยุคผู้บุกเบิกที่อพยพมาแสวงหาอิสรภาพเสรีภาพทางความคิด เมื่อสองร้อยปีที่แล้ว
ผู้คนนับล้านอพยพผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่นี่ปี 1855-1890 มีหลักฐานผู้อพยพผ่านเข้าเมืองนิวยอร์ก มากถึง 8 ล้านคน และการอพยพยังไม่หยุด มีผู้คนอีกกว่า 12 ล้านคน อพยพตามมาหลังปี 1890 มาดินแดนใหม่ผ่านเมืองนี้อีกกว่า 12 ล้านคน จึงเป็นเมืองแรกๆ ของโลกที่มีคนอาศัยอยู่เกินล้านคน
ทุกวันนี้ นิวยอร์ก ก็ยังมีคนทำงานอยู่อาศัยอย่างหลากหลายเชื้อชาติ โดยไม่มีใครอ้างได้ว่าเป็นเจ้าของหรือคนท้องถิ่น เพราะทุกคนล้วนอพยพมาแสวงหาโอกาส มีเสรีภาพ จะทำอะไรก็ได้ ทำให้นิวยอร์กเป็นเมืองที่แตกต่างจากเมืองประเทศตะวันตกทั่วไปคือ คนนิวยอร์ก ไม่มีวินัย ไฟแดงก็ข้ามถนน แท็กชี่โบกตรงไหน จอดรับตรงนั้นได้ รถจอดที่ไหนก็ได้ แซงซ้ายแทรกตัดหน้า บีบแตร ตะโกนด่าจากรถ มีครบเครื่องในสิ่งที่ตะวันตกต่อว่าคนตะวันออกว่า ด้อยพัฒนา
ท่ามความยุ่งเหยิงต้องซ่อมแซมมีไปทุกจุด แม้แต่ควันไอน้ำจากรถไฟใต้ดินยังพุ่งออกมาริมถนนตลอดเวลา เพื่อระบายอากาศแต่นิวยอร์กก็เจริญเป็นเมืองหลวงทางเศรษฐกิจของโลก อาคารสหประชาชาติ ตำรวจโลก องค์กรควบคุมความสงบโลกก็ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่ ตึกที่สูงที่สุดในโลกก็อยู่ที่นี่มาก่อน
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ตลาดใหญ่สุดของโลกบนถนนวอลล์สตรีท ก็เดินจากท่าเรือนี้ไปอีกไม่ไกล สัญลักษณ์ “กระทิง” ก็อยู่ที่นี่แสดงถึงตลาดหุ้นอยู่ในขาขึ้น มองไปก็ไม่เห็น “หมี” หุ้นขาลง อยู่ใกล้ๆ แถวนี้
นิวยอร์กกลายเป็นธุรกิจ แหล่งทำมาหากิน เป็นเมืองของคนทุกชาติทุกภาษามากกว่า 160 สัญชาติเดินทางมาทำมาหากินในเมืองเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียง 1,200 ตร.กม. เป็นเมืองที่มีคนทุกระดับชั้น วุ่นวายสับสนไปหมด หาระเบียบเรียบร้อยกันได้ยาก
ผู้คนผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลืองมารวมกันอยู่ที่เมืองนี้ เมืองที่มีความเจริญด้านการเงินของโลก เมืองที่มีคนยากจน คนรวยอยู่กันคนละฝั่งน้ำที่ผ่านเมือง ด้านหนึ่งเป็นสลัม อีกด้านถิ่นบ้านคนรวย เพียงแค่สายน้ำกั้น ก็แตกต่างกันคนละชั้น
ทุกคนรวมกันมาอยู่ที่นี่มาแสวงหาวิธีชีวิตใหม่ของตัวเอง ชีวิตที่แข่งขันตลอดเวลาเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพมีทุกอาชีพแม้กระทั่งรับจ้างจูงสุนัขออกมาเดินออกกำลังกาย เวลาไปตามริมน้ำ ที่คนออกกำลังกายหรือพักผ่อนในสวนสาธารณะ ฝูงสุนัขที่มีคนจูงก็เดินออกกำลังกายกันเป็นพวงที่นี่ด้วย เขาไม่ได้เป็นเจ้าของจูงสุนัขมาเที่ยวเล่น มีคนบอกว่าอย่างนั้น