
อย่าเต้น 'บาสโลบ' ผิดจังหวะ @ เกาะหินงาม
13 ธ.ค. 2558
ท่องไปกับใจตน : อย่าเต้น 'บาสโลบ' ผิดจังหวะ @ เกาะหินงาม : โดย...ธีรภาพ โลหิตกุล [email protected]
“หินงาม” เป็นชื่อเกาะเล็กๆ แต่โด่งดังมากเกาะหนึ่งในเขต อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล โด่งดังเพราะเป็นเกาะที่ไม่มีหาดทราย มีแต่หาดหินก้อนสีดำเป็นมันวาว บางก้อนมีแถบสีต่างๆ คาดกลาง ดูสวยแปลกตา ใครไปเยือนตะรุเตา มักไม่พลาดชมเกาะหินงาม แต่ครั้นไปชมกันมากๆ เข้า ก็มีปัญหาว่าก้อนหินงามๆ ถูกขโมยหยิบกันไปคนละก้อน-สองก้อน จนต้องมีแผ่นป้ายอาญาสิทธิ์เขียนคำประกาศว่า “คำสาบเจ้าพ่อตะรุเตา ใครบังอาจเก็บหินงามไปจากเกาะนี้ ผู้นั้นจะหายนะ จะกลับไม่ถึงบ้าน จะประสบอุบัติเหตุ จะหลุดจากตำแหน่งหน้าที่การงาน จะพบภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด”
ปรากฏว่าได้ผลดีเพราะคนรักตัวกลัวตาย ไม่กล้าเก็บหินไปครอบครองเป็นของส่วนตัวอีก จนถึงราวปี 2557 เกาะหินงามเจอปัญหาใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน คือเมื่อวัฒนธรรมการเรียงก้อนหินสูง 7, 9 หรือ 12 ชั้น เชื่อว่าหากเรียงสำเร็จแล้วอธิษฐานขอสิ่งใด ก็จะสำเร็จสมปรารถนา ซึ่งชาวเกาหลีใต้นิยมทำกันมาช้านาน ได้แพร่หลายเข้ามาสังคมไทย ลามไปจนถึงเกาะหินงาม แต่ปัญหาคือเมื่อถูกคลื่นลมสาดซัด หินที่เรียงไว้สูงหลายชั้นก็พังลงมา จนหินสวยๆ แตกหักเสียหายไปจำนวนมาก หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตาต้องออกมาขอร้องให้งดการเรียงหิน ก่อนที่เสียหายมากไปกว่านี้ ด้วยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนตะรุเตานับล้านคน
แต่กระนั้น ตราบจนวันนี้ ก็ยังมีเว็บไซต์ท่องเที่ยวมากมาย ที่ให้ข้อมูลเกาะหินงามว่า “หินทุกก้อนมีคำสาบของเจ้าพ่อตะรุเตา หากใครนำติดตัวไปจะเกิดแต่หายนะ แต่หากไปชมแล้วเรียงก้อนหินได้ 12 ชั้น แล้วอธิษฐานขอพร ก็จะได้สมปรารถนาทุกสิ่งทุกอย่าง”
ในความเป็นจริง วัฒนธรรมการเรียงหินไม่ใช่สิ่งเลวร้าย สำหรับชาวเกาหลี เป็นกุศโลบายฝึกลูกหลานเมื่อจะทำการงานใดก็ตาม ให้มีสมาธิ มีความอดทน มุ่งมั่น ในขณะที่ชาวภูฏานและทิเบตตั้งถิ่นฐานบนที่ราบสูงหลังคาโลก เวลาเดินทางไปในภูมิประเทศอันทุรกันดาร ก็นิยมเรียงหินเป็นรูปทรงเจดีย์ สัญลักษณ์ว่าเป็นที่สถิตของพระพุทธเจ้า เพื่อสร้างกำลังใจว่าได้อัญเชิญพระพุทธองค์มาปกป้องภยันตรายใดๆ ที่จะเกิดขึ้นแล้ว เช่นเดียวกับ “ด่านเจดีย์สามองค์” อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ก็เกิดจากสมัยโบราณ เป็นช่องทางที่ชาวมอญสัญจรไป-มา แล้วนำก้อนหินมาเรียงเป็นเจดีย์ 3 องค์ ถวายเป็นพุทธบูชาด้วยแรงศรัทธาสูงส่ง ก่อนที่จะสร้างเป็นรูปเจดีย์จริงๆ ในระยะหลัง
แต่กรณีการเรียงหินที่เกาะหินงาม ถือเป็นการรับวัฒนธรรมจากแหล่งอื่นมาทำตามโดยไม่เหมาะสม ก่อให้เกิดความเสียหายทางธรรมชาติ แตกต่างอย่างชัดเจนกับการรับวัฒนธรรมเต้นบาสโลบจากลาว ซึ่งกำลังได้รับความนิยมแพร่หลายในจังหวัดภาคอีสาน ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ภาพพระเอกหนุ่ม เรย์ แมคโดนัลด์ เรียนรู้การเต้น “บาสโลบ” จาก คำลี่ พิลาวง นางเอกสาวลาว เป็นหนึ่งในภาพประทับใจจากหนัง “สะบายดี 2 ไม่มีคำตอบจากปากเซ” โดยผู้กำกับ ศักดิ์ชัย ดีนาน ที่ตั้งใจให้มีฉากชาวเมืองปากเซในลาว ออกมา “บาสโลบ” พร้อมเพรียงกันทั้งเมือง เป็นภาพชวนให้ตื่นตา น่าประทับใจยิ่งนัก

แม้จะยังมีข้อถกเถียงกันไม่จบ ว่าต้นกำเนิดของการเต้น “บาสโลบ” มาจากไหน บ้างว่าเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส บ้างว่ามีต้นทางจากการเต้นพื้นบ้านของชาวยุโรป-ตะวันออก ครั้นเมื่อพรรคประซาซนปะติวัดลาว เปลี่ยนแปลงลาวเป็นสังคมนิยมสำเร็จในปี 2518 แล้วส่งนักศึกษาลาวไปเรียนต่อที่ (อดีต) โซเวียตรัสเซีย เชโกสโลวะเกีย เยอรมันตะวันออก ฯลฯ จึงรับเอาวัฒนธรรมการเต้นแบบยุโรปตะวันออก มาประยุกต์เป็น “บาสโลบ”
แต่รูปแบบการเต้นพร้อมๆ กันเป็นหมู่คณะ มีจังหวะจะโคน มีความงามสง่า ไม่มีท่วงท่าที่จะต้องจับมือถือแขนกัน ก็ทำให้ “บาสโลบ” ได้รับความนิยมและแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเต้นได้ทุกเพศทุกวัย ได้ภาคภูมิใจจากการสามัคคีกันเต้นอย่างพร้อมเพรียง จนกล่าวได้ว่า วันนี้ “บาสโลบ” กลายเป็นอัตลักษณ์หนึ่งของชาวลาวไปแล้ว และค่อยๆ เลื่อนไหลถ่ายเทสู่สังคมเพื่อนบ้าน คือกัมพูชาและไทย โดยเฉพาะแถบจังหวัดริมฝั่งโขง มีโรงเรียนและหน่วยงานหลายแห่งจัดกิจกรรมเต้นบาสโลบ แล้วดาวน์โหลดคลิปลงยูทูบกันอย่างคึกคัก
กระทั่งนักประพันธ์เพลงลูกทุ่งปากกาทอง เช่น ครูสลา คุณวุฒิ ถึงกับเขียนเพลง “บั๊ดสะหลบ...อย่าจบแค่พบหน้า” ให้ “ต่าย อรทัย” ขับขานเรียกจำนวน “ไลค์” จากมิตรรักแฟนเพลงสองฝั่งโขงกระหึ่ม แต่ปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นการเลื่อนไหลถ่ายเททางวัฒนธรรม จากฝั่งซ้ายสู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงอย่างเป็นทางการ คือในงาน “สีฐานเฟสติวัล บุญสมมาบูชาน้ำ” หรือเทศกาลลอยกระทงของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำปี 2558 ภายใต้แนวคิด “ไม่หลงของเก่า ไม่เมาของใหม่” มีกิจกรรมหนึ่งที่ระบุไว้ในกำหนดการ คือกิจกรรมลานวัฒนธรรม ร้อง เล่น เต้น กิน และการเต้น “บาสโลบ” จาก สปป.ลาว
สะท้อนให้เห็นว่าแม้ลาวจะมีประชากรน้อย มีพลังทางเศรษฐกิจไม่สูงนัก แต่สามารถส่งอิทธิพลทางวัฒนธรรมบางด้าน ไปสู่อีกประเทศหนึ่ง หรือสังคมหนึ่งได้ ด้วยเนื้อแท้ของวัฒนธรรมเองที่มีคุณประโยชน์ คือ สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และทำให้ผู้เต้นได้ออกกำลังกายไปในตัว
แม้การเต้นบาสโลบจะไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทว่าก็ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้และฝึกฝน มิฉะนั้นก็จะเต้นผิดจังหวะ ไม่พร้อมเพรียงกับคนอื่น กรณีนี้ทำให้เกิดสำนวน ในสังคมลาว สำหรับเรียกคนที่ทำผิดระเบียบวินัย หรือทำอะไรผิดแผกจากจารีตประเพณีว่า “เต้นบัดสะโลปไม่เข้าพวก หรือไม่เข้าจังหวะ”
ดังนั้น ใครไปเที่ยวเกาะหินงามในวันนี้ แล้วยังอุตส่าห์ไปนั่งเรียงก้อนหินอธิษฐานอีก ก็จัดเป็นพวกเต้นบาสโลบผิดจังหวะนั่นแล
--------------------
(ท่องไปกับใจตน : อย่าเต้น 'บาสโลบ' ผิดจังหวะ @ เกาะหินงาม : โดย...ธีรภาพ โลหิตกุล [email protected])