ไลฟ์สไตล์

นักวิจัยต่างชาติเสนอรัฐบาลทั่วโลกขึ้นภาษียาสูบ3เท่า

นักวิจัยต่างชาติเสนอรัฐบาลทั่วโลกขึ้นภาษียาสูบ3เท่า

04 ธ.ค. 2558

นักวิจัยต่างชาติเสนอรัฐบาลทั่วโลกขึ้นภาษียาสูบ 3 เท่า ประกาศชัยชนะ 3 เด้ง ลดคนสูบได้ 1 ใน 3 ลดคนตายได้ 200 ล้านราย แถมรัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 1 แสนล้านดอลล่าร์

               4ธ.ค.2558 ที่โรงแรมเดอะสุโกศล มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบุหรี่ ร่วมกับ เครือข่ายวิชาชีพเภสัชกรรมในการควบคุมการบริโภคยาสูบ ได้ร่วมกันจัดเสวนาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์การควบคุมปัญหาจากการสูบบุหรี่ด้วยนโยบายภาษีบุหรี่ และนโยบายการบำบัดผู้ติดบุหรี่ด้วยยาในประเทศไทย

               ศ.ประบาท จหา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสุขภาพของโลก (Centre for Global Health Research) มหาวิทยาลัยโทรอนโต ประเทศแคนาดา กล่าวว่า การขึ้นภาษีบุหรี่เป็นมาตรการเดียวที่มีประสิทธิผลมากที่สุด ซึ่งการขึ้นภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้น 3 เท่าจะช่วยลดคนสูบบุหรี่ได้ถึง 1 ใน 3 โดยถือเป็นชัยชนะ 3 เด้ง คือ 1.การลดอัตราการสูบบุหรี่และช่วยยับยั้งวัยรุ่นที่จะเริ่มผู้สูบรายใหม่ 2.ลดจำนวนการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะโรคมะเร็งปอด และโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ได้ถึง 200 ล้านราย และ3.เพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล จาก 300,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี เป็น 400,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนเงินมหาศาลที่สามารถนำมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการด้านสุขภาพให้ดีขึ้น

               “มาตรการการขึ้นภาษีบุหรี่ใช้ได้ผลกับทุกประเทศที่แม้แต่ประเทศที่ร่ำรวย เช่น ฝรั่งเศสสามารถลดการบริโภคบุหรี่จากปี 1990-2005 ได้ถึงครึ่งหนึ่ง โดยการขึ้นภาษีให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การขึ้นภาษีที่คิดตามน้ำหนักต่อมวนของบุหรี่ จะช่วยลดช่องว่างของราคาบุหรี่ ทำให้ผู้สูบบุหรี่เลิกบุหรี่ได้มากกว่าที่จะเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ที่มีราคาถูกกว่าด้วย ซึ่งหมายถึงการหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตก่อนเวลาโดยไม่จำเป็นขณะที่ในประเทศจีนและอินเดีย มีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่มากถึง 1 ล้านคนต่อปี เกือบครึ่งหนึ่งมีอายุต่ำกว่า 70 ปี การขึ้นราคาบุหรี่เป็น 2 เท่า จะช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศจีนและประเทศอินเดียที่มีอายุต่ำกว่า 70 ปีได้มากกว่า 300,000 รายต่อปี” ศ.จหา กล่าว

               ศ.ประบาท  กล่าวต่อว่า สถิติทั่วโลกพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นชาย และ 1 ใน 10 ของวัยรุ่นหญิงจะสูบบุหรี่ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา หากพวกเขายังคงสูบต่อไป เกือบครึ่งหนึ่งของคนหนุ่มสาวจะเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ แต่หากเลิกสูบบุหรี่ก่อนอายุ 40 ปี จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ได้ถึงร้อยละ 90 แต่ก็มีจำนวนน้อยที่คิดจะเลิกสูบ ขณะที่อุตสาหกรรมบุหรี่ทั่วโลกทำกำไรได้ปีละประมาณ 50,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยคิดเป็นกำไรประมาณ 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ต่อผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่หนึ่งคน  ดังนั้นจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องหามาตรการยับยั้งผู้ริเริ่มจะสูบบุหรี่และช่วยการเลิกบุหรี่ ซึ่งมาตรการภาษีบุหรี่เป็นคานงัดที่มีพลังมหาศาล ซึ่งรัฐบาลทุกประเทศสามารถเริ่มได้โดยการขึ้นภาษีบุหรี่ให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้ออย่างสม่ำเสมอและขึ้นภาษีขึ้นอีกเป็นครั้งคราวในปีงบประมาณต่อๆ ไป

               ​ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า รัฐบาลควรเร่งรัดการดำเนินการตามอนุสัญญาควบคุมยาสูบโดยเฉพาะการขึ้นภาษียาสูบ เพื่อนำสังคมไทยเข้าสู่โรดแมป การพัฒนาที่ยั่งยืนตามข้อตกลงที่ที่ประชุมยูเอ็นเห็นชอบไปเมื่อเร็วๆ นี้ โดยใน 17 วาระการพัฒนาที่ยั่งยืนมีถึง 9 วาระที่การบรรลุเป้าหมายต้องทำให้การสูบบุหรี่ลดลง เช่น การขจัดความยากจนและความหิวโหย  การส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน การทำให้สุขภาพดี การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ทั้งนี้ การขึ้นภาษียาสูบครั้งสุดท้ายผ่านไปกว่า 3 ปีแล้ว และยอดจำหน่ายบุหรี่ซิกาแรตในปี 2558เพิ่มขึ้นเป็น 2,191 ล้านซอง จาก 2,003 ล้านซองในปี 2557 และการสำรวจปีที่แล้วมีนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้น 2 แสนคน  โดยหนึ่งแสนคนมีอายุต่ำกว่า 17 ปี  ทั้งนี้ผลการขึ้นภาษี 6 ครั้ง ระหว่าง ปี 2536-2549 ที่ทำให้จำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลง 4 ล้านคน ร้อยละ 60 ของการลดลงเป็นผลจากการขึ้นภาษีบุหรี่