เที่ยววัดชมวังใน 'มัณฑะเลย์' | คมชัดลึก

 

                      ยังคงใช้ชีวิตป้วนเปี้ยนอยู่ในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า และสำรวจเมืองเล็กเมืองน้อยแถวๆ นั้นต่ออีก

 

                      เดี๋ยวนี้สำหรับคนไทยไปมัณฑะเลย์ค่อนข้างง่าย นอกจากไม่ต้องทำวีซ่าเหมือนแต่ก่อนแล้ว สายการบินแอร์เอเชีย (www.airasia.com) ยังมีเที่ยวบินบินตรงจากดอนเมืองไปมัณฑะเลย์ทุกวัน วันละไฟลท์ ที่จริงใครจะบินเข้ามัณฑะเลย์แล้วไปบินออกจากย่างกุ้งก็ได้เช่นกัน แถมไฟลท์บินเข้าออกย่างกุ้งมีวันละ 4 ไฟลท์

 

                      นอกจากเดินทางสะดวกแล้วเรื่องที่พักเดี๋ยวนี้ก็สะดวกเช่นกัน สมัยก่อนเวลาไปเที่ยวพม่าต้องไปหาที่พักเอาข้างหน้า แต่เดี๋ยวนี้สะดวกสุดๆ แค่นั่งจิ้มหาเรือนพักจากแอพพลิเคชั่นของอโกดาจากสมาร์ทโฟน หรือคลิกเข้าไปดูที่เว็บไซต์อโกดา (www.agoda.com) ก็เจอที่พักให้เลือกมากมายหลายระดับ เที่ยวนี้ฉันเลือกที่พักย่านใจกลางเมืองมัณฑะเลย์ที่ชื่อ 79 Living Hotel (www.79livinghotel.com) ที่นี่อยู่ใกล้ร้านอาหาร คาเฟ่ และตลาด รวมถึงไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของเมือง มีดาดฟ้าเอาไว้ให้นั่งชมวิวกันด้วย

 

                      และเที่ยวนี้เดินทางไปท่องเที่ยวตามจุดต่างๆ ในมัณฑะเลย์อย่างสะดวกสบาย เพราะมีบริษัทเมียนมาร์ ไรซิ่งสตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ทราเวลส์ (www.myanmarrisingstar.com.mm) คอยดูแลเรื่องรถราให้ เลยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเยอะ เพราะรถเช่าที่ให้บริการในพม่าเดี๋ยวนี้เป็นรถตู้อย่างดี ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เช่าแล้วต้องแวะซ่อมกันไปตลอดทาง

 

                      หลังจากขึ้นมัณฑะเลย์ฮิลล์และเที่ยวในเมืองกันหอมปากหอมคอกันไปแล้ว ก็ได้เวลาไปสำรวจมัณฑะเลย์กันต่อ เรามุ่งหน้าไปที่ พระราชวังมัณฑะเลย์ พระราชวังแห่งสุดท้ายของพม่าก่อนที่จะถูกอังกฤษเข้าครอบครองประเทศ

 

                      ภายใต้กำแพงล้อมรอบด้วยคูน้ำขนาดใหญ่รอบพระราชวังทั้ง 4 ทิศ คงเก็บงำเรื่องราวในอดีตมากมายเอาไว้ในสถานที่แห่งนี้

 

                      ถึงแม้ว่าพระราชวังของจริงจะถูกระเบิดจนพังพินาศไปหมดแล้ว แต่ทุกวันนี้พม่าได้สร้างพระราชวังจำลองขึ้นมาใหม่เพื่อบอกให้เห็นว่าในอดีตพระราชวังมัณฑะเลย์แห่งนี้เคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมากแค่ไหน

 

                      พระราชวังมัณฑะเลย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้ามินดงหลังจากย้ายราชธานีมาจากนครอมระปุระ และมีพระเจ้าธีบอซึ่งเป็นพระโอรสเป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย ก่อนจะเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ราชวงศ์สุดท้ายของพม่าก็สูญสิ้นอย่างน่าเสียดาย พระราชวังไม้สักทั้งหลังถูกระเบิดจากอังกฤษจนไม่เหลือร่องรอยของความยิ่งใหญ่ ทิ้งไว้เพียงกำแพงเมืองและหอคอย จนต่อมารัฐบาลพม่าจึงกลับมาสร้างขึ้นใหม่และให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชมความสวยงามอีกครั้ง

 

                      แม้นักท่องเที่ยวจะรู้ว่าเป็นของใหม่แต่เมื่อเดินไต่บันไดขึ้นไปบนหอคอยแล้วมองลงมาก็สัมผัสได้ทันทีว่าในอดีตพระราชวังแห่งนี้คงจะยิ่งใหญ่อลังการและงดงามไม่ใช่น้อย มองลงมาจะเห็นว่าภายในพระราชวังมัณฑะเลย์นั้นช่างยิ่งใหญ่โอ่โถง มีพระราชมณเฑียรทองสูง 7 ชั้นอันโดดเด่น หลังคามุงสังกะสีตามแบบฉบับของพม่า ขณะที่ท้องพระโรงที่ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญมีรูปจำลองของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า กับพระนางศุภยลัตซึ่งเป็นพระมเหสีให้ดูกันด้วย

 

 

 

 

                      นอกจากนี้ยังมีการแสดงหุ่นจำลองของพระเจ้ามินดงและพระมเหสีประทับนั่งอยู่คู่กันบนบัลลังก์ และหากมองไปบนหลังคาของพระตำหนักจะมีป้อมเล็กๆ ตั้งอยู่ นั่นเป็นป้อมที่ทหารยามมาคอยไล่แร้งกาไม่ให้มาบินโฉบเฉี่ยวอยู่เหนือบรรดาพระราชวงศ์ทั้งหลาย เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งอัปมงคล

 

                      ความจริงไม่ใช่แค่ที่นี่หรอก แต่สถานที่สำคัญเกือบทุกแห่งในเมืองมัณฑะเลย์ก็ถูกระเบิดด้วย แต่ถ้าจะยังเฟ้นหาสถานที่ไม่โดนระเบิดก็ต้องไปที่ วัดชเวนานดอร์ ที่สร้างในสมัยพระเจ้ามินดง เมื่อปี 2400

 

                      วัดนี้สร้างจากไม้สักแกะสลักด้วยลวดลายพม่า ปิดด้วยแผ่นทองทั้งหลัง ว่ากันว่าพระเจ้ามินดงทรงโปรดมานั่งสมาธิที่วัดนี้เป็นประจำ ต่อมาเมื่อพระเจ้าธีบอขึ้นครองราชย์จึงทรงยกตำหนักถวายเป็นวัดให้พระสงฆ์ได้มาศึกษาธรรมะ

 

                      จะเรียกว่าวัดนี้คือที่สุดของมัณฑะเลย์ก็ได้ เพราะเมื่อพิจารณารายละเอียดของการแกะสลักแล้วต้องยกนิ้วให้ช่างฝีมือพม่าที่ทำได้ประณีตเหลือเกิน ถึงแม้ว่าจะมีร่องรอยของความชำรุดทรุดโทรมแต่ก็ทำให้รู้เลยว่าในอดีตคงงดงามเป็นที่สุด

 

                      ไม่ไกลกับวัดชเวนานดอร์ ยังมีวัดอีกแห่งหนึ่งที่เป็นศาสนสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาของมัณฑะเลย์ ที่นั่นคือ วัดกุโสดอร์  วัดอีกแห่งหนึ่งที่พระเจ้ามินดงสร้างขึ้น

 

                      ตั้งแต่ปากทางเข้าวัดจะมีเด็กๆ หน้าเปื้อนทานาคา วิ่งมาขายพวงมาลัยเพื่อเอาไหว้พระในวัด แต่ความน่าสนใจของวัดนี้อยู่ที่ด้านในบรรจุพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อนกว่า 729 แผ่น และได้สร้างมณฑปสีขาวครอบแผ่นจารึกหินอ่อนเหล่านี้ไว้เรียงรายรอบพระเจดีย์มหาโลกมารชิน ที่จำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกาม ที่นี่จึงถือว่าเป็นวัดที่มีพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก

 

                      การเดินทางในมัณฑะเลย์ยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะยังมีเมืองเล็กเมืองน้อยรอบๆ มัณฑะเลย์ให้เดินสายเที่ยวกันอีก ไม่ว่าจะเป็นเมืองอมระปุระ เมืองสะกาย และเมืองอังวะ

 

                      อย่างที่เมืองสะกาย เมื่อขึ้นไปบนเนินเขาสะกายก็จะเจอทั้งวัดอูมิน ตองเซห์ ที่อยู่กลางเนินเขา วัดนี้ถูกเรียกว่าวัด 30 ถ้ำ และยังมีวัดอู พองยา ชิน (U Ponya Shin Paya) ที่มีเจดีย์สวยอร่ามตั้งอยู่กลางวัด

 

                      หากใครมีเวลาลองนั่งเรือข้ามไปเที่ยวเมืองอังวะ ที่ที่มีวัดวาอารามและวิถีชีวิตแบบเก่าๆ ที่น่าดู

 

                      เป็นช่วงเวลา 3-4 วันในมัณฑะเลย์ที่อาจจะน้อยนิด แต่ตอกย้ำให้เห็นว่า เมืองนี้ยังคงน่าค้นหาเสมอในสายตานักเดินทาง

 

 

 

 

--------------------