
ท่วงก้าวของอนุวัฒน์ แก้วลอย
22 พ.ย. 2558
ศิลป์แห่งแผ่นดิน : ท่วงก้าวของอนุวัฒน์ แก้วลอย : โดย...ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
“อนุวัฒน์ แก้วลอย” คือนามของกวีรุ่นใหม่ชาวจังหวัดสุรินทร์ พ่อแม่เป็นครู และเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเจริญรอยตาม
อนุวัฒน์ เรียนจบเอกภาษาไทยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และกำลังเรียนต่อระดับมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ ที่ ม.รามคำแหง
เริ่มสนใจการเขียนตั้งแต่ชั้นมัธยมที่ ร.ร.สุรวิทยาคาร คุณครูมณีรัตน์ โสมทิพยนุกูล นำพาสู่เวทีประกวดทักษะทางภาษาไทยในทุกระดับ ได้พบและรู้จักกวี นักเขียนหลายท่าน เป็นแรงบันดาลใจให้รัก และใฝ่ฝันจะเดินบนถนนสายวรรณศิลป์
ผมได้พบเขาบ่อยๆ เนืองๆ ตามค่ายวรรณกรรม ต่อเนื่องมาหลายปี ได้เห็นการเคลื่อนไหว เติบโต อย่างน่าชื่นชม ล่าสุดเจอเขาที่ค่าย “บันไดกวี” ที่เขามาในฐานะ “ครู” เขาได้มอบหนังสือ รวมบทกวีคัดสรร “เมื่อคำนึงจึงเห็นความเป็นเธอ” และ “เส้นสีของชีวิต” บทกวีทั้ง 2 เล่ม คือ จังหวะก้าวของเขาบนถนนสายกวี
ในฐานะที่ผมเป็นกวีรุ่นพี่ที่เฝ้ามองการย่างก้าวของกวีรุ่นใหม่ มีโอกาสได้อ่านงานของกวีหนุ่มสาวจากหน้านิตยสารจากเวทีการประกวดต่างๆ ในฐานะกรรมการตัดสินอยู่เนืองๆ นามอนุวัฒน์ แก้วลอย คือชื่อที่ปรากฏเด่นชัดถึงฝีมือที่พัฒนาขึ้น และความพากเพียรมุ่งมั่นที่เขามี
เขาเคยผ่านเวทีประกวดบทกวี “นายอินทร์ อะวอร์ด” ได้รางวัลรองชนะเลิศ เซเว่นบุ๊ค อวอร์ด จาก “เมื่อคำนึงจึงเห็นความเป็นเธอ”
และรองชนะเลิศอีกครั้ง รางวัลเดิม จาก “เส้นสีของชีวิต” และเรื่องนี้ก็ยังได้ทุน young Thai Artist Award อีกด้วย
ในฐานะครูเขาให้ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์การเขียนที่ได้รับจากการเข้าค่ายวรรณกรรม สู่ลูกศิษย์ จนศิษย์ของเขาได้ก้าวเดินเจริญรอยตามบนถนนสายประกวดประชัน เขาเดินตามทางของพ่อแม่เป็น “ลูกไม้ไม่ไกลต้น”
“เส้นทางที่พ่อก้าวยาวนานนัก เพราะพ่อรักหนักแน่นเป็นแก่นสาร อุทิศพลีทั้งชีวิตจิตวิญญาณ ในหน้าที่ราชการงานของครู...”
และเขาได้เติบโตขึ้นบนแผ่นดินที่มั่นคงจาก “รากเหง้าเมื่อเยาว์วัย”
“คือรากเหง้าเมื่อเยาว์วัยได้พบแล้ว คือรากแก้วที่ปลูกฝังตั้งแต่ต้น ค่อยเติมต่อคุณค่าคำว่าคน จึงเป็นตัวเป็นตนเป็นผลงาน” (เส้นสีของชีวิต)
ผมอ่านบทกวีของเขาทั้งสองเล่ม เห็นจังหวะท่วงก้าวของวัยหนุ่มที่มั่นคง เขาช่างคิดมากกว่าจะช่างฝัน คิดแบบอยู่ในร่องในรอย อยู่ในครรลองคลองธรรม มี “ดาวศรัทธา” นำทาง ให้ “สืบเท้าก้าวที่กล้า” เป็น “ดอกไม้ของแผ่นดิน” เรียนรู้ “ชะตากรรมที่ซ้ำซาก” กอบเก็บ “เก็บธุลีเติมชีวิต” “อ่านโลก อ่านคน อ่านตนเอง” สัมผัส “สุนทรีย์ของชีวิต” เดินทาง “ข้ามฝันด้วยตนเอง” มองเห็น “วิถีที่แตกต่าง” “สร้างฝันเพื่อวันของเรา” ตามที่ “ฉันมาฉันเห็นฉันรู้สึก” ฟัง “เสียงของประชาชน” “ครองชีวิตด้วยปัญญา” โบยบินด้วย “ปีกฝันของวันพรุ่ง” ต่อเติม “ประวัติศาสตร์ที่ขาดตอน” ด้วยความ “รักเธอประเทศไทย”
ถ้าถามว่าเขาคือความหวังใหม่ของวงการกวีไหม คงเป็นเขาเอง “อนุวัฒน์ แก้วลอย” ที่จะเป็นผู้ตอบ ผ่านจังหวะก้าวต่อๆ ไปของเขา ถึงตอนนี้เขาได้พิสูจน์ถึงความรักที่เขามีต่อกวีนิพนธ์ ประหนึ่งกวีนิพนธ์เป็นเส้นสีของชีวิตของเขา
ปัญหาของเขา หรือกวีหนุ่มสาวของเรา มิใช่อยู่ที่ “วิธี” แต่อยู่ที่ “วิถี” ของการเขียน ว่าตามขนบประเพณีการเรียนการสอน ในระบบการศึกษาของเรานั่น มุ่งเน้นกันแต่ “วิธีการเขียน” ไม่เข้าถึง “วิถีการคิด” โดยครรลองเช่นนี้ ถนนสายกวีนิพนธ์จึงแทบไม่มีคนรุ่นใหม่ก้าวเดินตามหลังรุ่นพี่มา หันกลับไปดูมีอยู่ไม่มากคน หนึ่งในจำนวนนั้นมีอนุวัฒน์ แก้วลอย
“อนุวัฒน์ แก้วลอย” เขาฝันจะเห็น “ครูพันธุ์ใหม่” ที่จะทำเพื่อใครๆ ไม่หน่ายหนีคำสัญญาเพื่อมวลชนสร้างคนดี เธอยังมีความตั้งใจเท่าใดกัน”
ผมเองก็ฝันจะเห็นกวีรุ่นใหม่ ที่เป็นความหวัง “สืบเท้าก้าวที่กล้า” เพื่อ “สร้างโอกาสดีดีให้ชีวิต” ไม่เพียงแต่ชีวิตของตนบนหนทางแห่งความสำเร็จ “ด้วยสืบเท้าก้าวกล้าเพื่อคว้าชัย” ให้ตนเองเท่านั้น เพราะเราทั้งผองยังมี “วันที่เฝ้ารอ”
อนุวัฒน์ แก้วลอย กล่าวไว้ว่า “ฉันอยู่เพื่อสักวันนั้นมาถึง เมื่อคำนึงจึงเห็นค่ามหาศาล ที่แฝงไว้ในตัวตนในผลงาน ในชีวิตจิตวิญญาณการเป็นคน”
เฝ้ามองท่วงก้าวของเขาต่อไป