
5 วิธีง่ายๆ ป้องกัน 'หัวใจขาดเลือด'...และการรับมือ
14 ต.ค. 2558
ดูแลสุขภาพ : 5 วิธีง่ายๆ ป้องกัน 'หัวใจขาดเลือด'...และการรับมือ
โรคหัวใจขาดเลือด หมายถึงอะไร
โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic Heart Disease, IHD) หรือ โรคหลอดเลือดโคโรนารี (Coronary Artery Disease, CAD) หมายถึง ภาวะที่หลอดเลือดแดง (Coronary Artery) ที่เลี้ยงหัวใจตีบหรือตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอกและอาจมีภาวะหัวใจวาย หรือเสียชีวิตได้
สาเหตุการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจ
หัวใจขาดเลือดเกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดแดงใหญ่โคโรนารี (Coronary Artery) เนื่องจากมีการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดตามวัย มีไขมันและหินปูนเกาะที่ผนังชั้นในของหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและหนาขึ้น ไม่ยืดหยุ่น ส่งผลให้หลอดเลือดเกิดการตีบแคบ หรือตัน เลือดจึงไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ทำให้หัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย
อาการของหัวใจขาดเลือด
อาการสำคัญของหัวใจขาดเลือด คือ อาการเจ็บหน้าอก (Angina Pectoris) ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ เจ็บหน้าอกแบบคงที่ และเจ็บหน้าอกเฉียบพลัน หรือไม่คงที่
เจ็บหน้าอกแบบคงที่ (Stable Angina)
เป็นอาการเจ็บหน้าอกเมื่อมีการออกแรงมากๆ เช่น เดินขึ้นสะพานลอย ขณะวิ่ง หรือเจ็บหน้าอกเมื่อมีอาการโกรธ เครียด แต่อาการจะทุเลาลงถ้าหยุดพักจากการออกแรงในกิจกรรมนั้นๆ
เจ็บหน้าอกเฉียบพลันหรือแบบไม่คงที่ (Unstable Angina)
เป็นอาการเจ็บหน้าอกที่ไม่สัมพันธ์กับการออกแรง เจ็บได้ในขณะพัก เจ็บนานเกิน 20 นาที ซึ่งมักมีภาวะช็อกและหัวใจวาย มีกล้ามเนื้อหัวใจตายบางส่วน (Myocardial Infarction) สาเหตุมาจากหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และอาจมีอาการร่วมอื่นๆ ได้แก่ ใจสั่น วิงเวียน ศีรษะ หน้ามืด จากการที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือด
- มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เริ่มพบในผู้ชายเกินอายุ 45 ปี และผู้หญิงอายุเกิน 50 ปี
- บุคคลที่มีอาชีพนั่งทำงานที่โต๊ะ มีการขยับร่างกายน้อย
- ขาดการออกกำลังกาย ทำให้มีไขมันเกาะในผนังหลอดเลือดสูง หลอดเลือดเสื่อมสภาพ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่ โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน
- การสูบบุหรี่จัด
- มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
แพทย์จะตรวจวินิจฉัยอย่างไรบ้าง
- สอบถามอาการเบื้องต้น สอบถามโรคประจำตัว จับชีพจร วัดความดันโลหิต การฟังเสียงหัวใจ
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography, ECG) สามารถบอกจังหวะการเต้นของหัวใจ
- การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test) เป็นการตรวจขณะออกกำลังกายโดยการเดินสายพานหรือวิ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่หัวใจต้องการเลือดหรือออกซิเจนมากขึ้น หากมีหลอดเลือดหัวใจตีบ จะเกิดอาการแน่นอกหรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนแปลง เพราะเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ
- การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiography) โดยการใส่สายสวนผ่านหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบ หรือ ข้อพับแขน หรือข้อมือ ใส่สายสวนไปจนถึง รูเปิดของหลอดเลือดโคโรนารี ฉีดสารทึบรังสี และเอกซเรย์ดูหลอดเลือดว่าตีบแคบ มากน้อยเพียงได้
- การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนของหัวใจ (Echocardiography) สามารถดูโครงสร้างของหัวใจ และการทำงานของหัวใจ
การรักษา
การเลือกวิธีการรักษาแพทย์จะพิจารณาจากอาการความรุนแรงของโรค พยาธิสภาพของหัวใจ อายุ และโรคร่วมอื่นๆ ประกอบการพิจารณา วิธีการรักษา ได้แก่รักษาด้วยยา การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Percutaneous Transluminal Coronary Angioplasty, PTCA) และการผ่าตัดบายพาสของหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting, CABG)
วิธีการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดการดูแลหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรงด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
- การออกกำลังกายเป็นประจำสัปดาห์ละอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที
- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อาหารเค็มจัด อาหารหวานจัด ทำให้มีการสะสมไขมันในหลอดเลือด
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- งดการสูบบุหรี่ เพราะมีอันตรายต่อผนังหลอดเลือด
- การควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน
- การพักผ่อนให้เพียงพอ
- การผ่อนคลายความเครียดสม่ำเสมอ
- ควรตรวจสุขภาพประจำปี เช่น ตรวจน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด และการวัดความดันโลหิต
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรตรวจคัดกรองโรคหัวใจและหลอดเลือด
- สังเกตอาการถ้ามีอาการเจ็บหน้าอกบ่อยๆ ควรปรึกษาแพทย์
นพ.ชยุต ชีวะพฤกษ์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด
โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์