
ชวนเที่ยว : ตากใจที่ 'ตากใบ'
26 ก.ค. 2558
ชวนเที่ยว : ตากใจที่ 'ตากใบ' : เรื่อง / ภาพ ... นพพร วิจิตร์วงษ์
เมืองชายแดนสุดของภาคใต้ฝั่งตะวันออก ที่เคยมีชื่อติดอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยเหตุร้อนระอุที่เกิดขึ้นในพื้นที่ หลังวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ก็คือเหตุการณ์ปิดล้อมโรงพักตากใบ จ.นราธิวาส จนนำไปสู่การยิงและจับกุมชาวบ้านที่มาปิดล้อมขนขึ้นรถทหารไปยังสถานที่ควบคุมตัวใน จ.ปัตตานี เหตุการณ์ครั้งนั้น มีการบันทึกตัวเลขผู้เสียชีวิตถึง 85 คน เวลาผ่านมาเกือบ 11 ปีแล้ว ชื่อของ อ.ตากใบ ก็ยังดูน่าหวาดหวั่น ประกอบกับข่าวการโจมตีทหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีให้ได้ยินไม่เว้นแต่ละวัน
จังหวะดีมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวนราธิวาส ไปดูสถานที่ให้รู้ว่า น่ากลัวอย่างที่คิดกันแค่ไหน คำตอบที่ได้ช่างต่างจากข่าวความรุนแรงที่ออกมา ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายคนแปลกถิ่น สถานที่ธรรมชาติแทบไม่ต้องพูดถึงเพราะไร้คนต่างถิ่นเข้าไปฉกชิงแย่งใช้เหมือนกับที่อื่นๆ มากนัก แต่....ความรู้สึกในใจนั่นแหละ ที่ทำให้รู้สึกหวาดหวั่น โดยเฉพาะในยามวิกาล
นราธิวาส หรือเมืองบางนราในอดีต เป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสก่อนจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเปลี่ยนชื่อเมืองนรา เป็นนราธิวาส ซึ่งแปลว่า ที่อยู่อันยิ่งใหญ่ของประชาชน เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2458 ในครั้งนั้นยังมีหัวเมืองอีกแห่งที่รัชกาลที่ 6 เสด็จฯ ไปเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ก็คือ เมืองตากใบ โดยเสด็จฯ ประทับเรือกรรเชียงไปขึ้นที่ท่าเรือตากใบ โดยมีราษฎรในพื้นที่ และราษฎรจากเมืองกลันตัน (สมัยก่อนขึ้นอยู่กับไทย) ข้ามมาจากเมืองกลันตัน เพื่อมาเฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทรงแนะให้ราษฎรรักใคร่ปรองดอง เป็นมิตรต่อกันเพื่อความผาสุก โดยให้ล่ามแปลเป็นภาษามลายูเพื่อความเข้าใจทั้ง 2 ฝ่ายด้วย หลักฐานทางประวัติศาสตร์นี้ ยังมีให้เห็นอยู่ที่ วัดชลธาราสิงเห คือศาลาที่ประทับริมน้ำ เพื่อทอดพระเนตรการแข่งขันเรือพาย และถวายจตุปัจจัยบำรุงวัด
ปัจจุบันการเดินทางจากนราธิวาสไปถึง อ.ตากใบ มีทางรถยนต์สะดวกสบาย ใช้เวลาแค่ราวๆ 2 ชั่วโมง หรือถ้านั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปลงที่สนามบินนราธิวาส ก็จะมีรถตู้บริการ เดินทางถึงตากใบ คิดค่าโดยสารคนละ 160 บาท ก็ถึงตัวเมืองสงบๆ ของ อ.ตากใบ
ตัวเมืองตากใบ เป็นเมืองเล็กๆ บรรยากาศเงียบสงบ เหมือนไม่เคยรับรู้ว่ามีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ริมน้ำตากใบเปิดเป็นตลาดน้ำในตอนเย็น เป็นแหล่งที่ชาวบ้านจะออกมาเที่ยว มาพบปะกัน มาจับจ่ายซื้อของ ซึ่งก็อยู่ริมสะพานที่เชื่อมไปสู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ เรียกกันว่า เกาะยาว หัวสะพานเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจน้ำตากใบ ห่างออกไปไม่ไกลนักก็เป็นโรงพัก (ที่เคยเกิดเหตุ) และที่ว่าการอำเภอ
เกาะยาว อยู่ในเขต อบต.พร่อน ถ้าดูจากแผนที่ขนาดปกติ อาจจะมองไม่เห็นเกาะนี้เลย แต่ถ้าขยายใหญ่จะเห็นเป็นขีดยาวๆ ริมขอบทะเล ที่ว่ากันว่า เกาะยาวนี้ ขอบอกเลยว่า ยาวสมชื่อ เพราะส่วนที่แคบแค่หลักร้อยเมตร แต่ความยาวเกือบ 10 กิโลเมตรทีเดียว
ตอนแรกถามชาวบ้านร้านขายของบนเกาะยาว เขาบอกว่า ยาว 9-10 กิโลเมตร ยังคิดว่าเราเข้าใจผิดหรือเปล่า เพราะชุมชนที่เห็นอยู่กันไม่กว้างไกลกันนัก อีกทั้งเห็นความแคบของเกาะแล้ว ดูไม่น่าจะยาวได้ขนาดนั้น ที่ไหนได้ มาลองเปิดแผนที่ดู ถึงได้เห็นว่าเป็นเส้นแนวยาวถึง 1 ใน 3 ของ อ.ตากใบ ด้านที่ติดกับทะเล ทำให้เกาะนี้มีความพิเศษ คือ แค่ลัดนิ้วเดียวก็ข้ามจากแม่น้ำไปทะเล เพราะฝั่งหนึ่งติดแม่น้ำตากใบ อีกฝั่งติดทะเลอ่าวไทย
สมัยก่อนมีเพียงสะพานไม้ที่เชื่อมระหว่างฝั่งตลาดตากใบ แต่ปัจจุบันชำรุดทรุดโทรม จึงสร้างสะพานปูนขึ้นมาตีคู่กัน ข้ามแม่น้ำตากไปสู่เกาะยาว ความยาวสะพาน 160 เมตร สุดปลายสะพานยังเป็นทางปูนไปอีกหน่อยก็หมดระยะกลายเป็นทางลูกรัง และหาดทรายกว้างๆ กับทิวมะพร้าวที่ร่มรื่น
พี่นก และเจ้าหน้าที่ อบต.ในพื้นที่ และพี่สาว จาก ททท.นราธิวาส มาช่วยเป็นไกด์พาเที่ยว ข้ามฝั่งไปเดินเล่นที่เกาะยาว บนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ยังเห็นเพิงเล็กๆ หลายหลังบนหาดทราย ซึ่งเขาบอกว่าเพิ่งจะมีการจัดกิจกรรมบนเกาะไป ยังเก็บไม่หมด แถมเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมามีการจัดงานศิลป์บนหาดทราย มีการแข่งขันฟุตบอลชายหาด วอลเลย์บอลชายหาด ไปจนถึงการแข่งเรือยอกองในทะเล เห็นมั้ยล่ะ ธรรมดาซะที่ไหน
บนเกาะนี้ยังมีสัญลักษณ์อีกอย่างที่ต้องไปหาดูก็คือ เสาธงชาติอยู่บนต้นไม้ แต่ไปคราวนี้เหมือนต้นไม้จะโตขึ้นแล้วยังมีใบดก บดบังเสาธงเสียเกือบมิด ชาวบ้านบอกว่า เสาธงกับต้นไม้เนี่ยอยู่ใกล้กัน แต่พอต้นไม้โตขึ้นก็ดันเสาธงขึ้นไปด้วย เลยกลายเป็นเสาธงอยู่บนต้นไม้
ออกจากเกาะยาว ข้ามกลับมา เดินตามทางเล็กๆ เลียบแม่น้ำไปทางขวามืออีกนิดเดียว ก็ถึงวัดประวัติศาสตร์ วัดชลธาราสิงเห เมื่อก่อนเรียกกันว่า วัดท่าพรุ หรือวัดเจ๊ะเห สร้างขึ้นในปี 2403 ปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 4 โดยพระครูโอภาสพุทธคุณ (พุด) ภายในบริเวณเป็นสิ่งก่อสร้างตามสถาปัตยกรรมภาคใต้ ผ่านการบูรณะมาหลายยุคหลายสมัย รวมทั้งตอนนี้ก็กำลังมีการบูรณะกุฏิเจ้าอาวาสเก่า ที่เป็นเรือนไม้ รูปทรงและลวดลายสวยงามทั้งด้านนอก และลวดลายจิตรกรรมฝาผนังด้านใน ส่วนพระอุโบสถหลังไม่ใหญ่มากนัก สร้างขึ้นในปี 2416 สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องไตรภูมิ เทพชุมนุม และพุทธประวัติ พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ รูปลักษณะที่สวยงาม และมองเหมือนพระพักตร์ยิ้มอยู่ตลอดเวลา
วัดชลธาราสิงเห มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก นอกจากได้ขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรเป็นโบราณสถานของชาติเมื่อปี 2518 แล้ว วัดนี้ยังได้ชื่อว่า วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย เพราะวัดนี้ทำให้ไทยไม่ต้องเสียเมืองตากใบให้แก่นักล่าอาณานิคมอังกฤษ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ได้เมืองกลันตันจากไทยไปแล้ว ยังพยายามจะผนวกเมืองตอนเหนือแม่น้ำตากใบไปด้วย แต่ฝ่ายไทยหาเหตุผลและข้อเท็จจริงมายืนยันว่า ดินแดนนี้เป็นของไทยมากว่า 100 ปี โดยเอาวัดชลธาราสิงเหเป็นตัวยืนยันว่า ชาวไทยอาศัยอยู่ในดินแดนนี้มานานก่อนที่ไทยมลายูจะเข้ามาอยู่ อังกฤษจึงจำนนด้วยหลักฐานและทำสนธิสัญญาตาบาขึ้น เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2451 โดยใช้แม่น้ำโก-ลก เป็นเส้นแบ่งเขตแดน
คำว่า "ตาบา" นี่เอง ก็สันนิษฐานว่าเป็นที่มาของชื่อ ตากใบ โดยมีเรื่องเล่าขานที่มาของชื่อว่า มีคนชื่อ ตาบา ตั้งรกรากอยู่เป็นคนแรก ต่อมามีคนอพยพมาอยู่เพิ่มเติม จนเป็นชุมชนใหญ่ ต่อมามีประชากรมาอาศัยอยู่เพิ่มเติมจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ เป็นหมู่บ้าน เลยเรียนขานว่า บ้านตาบา อยู่ใน ต.เจ๊ะเห ก่อนจะเรียกเพี้ยนกันมาเป็นตากใบ และได้รับการยกฐานะขึ้นทะเบียนเป็นอำเภอ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2452
ส่วนพี่นก กับพี่ อบต.บอกว่า ที่มาของตากใบเนี่ย ยังมีเรื่องเล่าอีกอย่างว่า เกิดจากที่มีเรือล่ม ชาวบ้านไปช่วยกันกู้ขึ้นมาได้ ก็เอาใบเรือไปตาก พอถึงช่วงที่มีการนัดพ่อค้ามาชุมนุมกันก็บอกกันว่าไปเจอกันตรงที่ตากใบ ซึ่งหมายถึงจุดที่ตากใบเรือไว้ เลยเป็นที่มาของ ตากใบ
ไม่น่าเชื่อว่า ในห้วงเวลา 1 วัน เที่ยวไม่ทั่ว อำเภอเล็กๆ แห่งนี้ที่มีเนื้อที่ไม่ถึง 6% ของนราธิวาส เพราะแค่ 2 แห่ง ที่แวะเวียนไปเที่ยวก็กินเวลาไปจนหมด ยังไม่ได้แวะไปตลาดชายแดน ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่ฝั่งตรงข้ามรัฐกลันตันของมาเลเซีย
รอยยิ้ม ความสงบเงียบ ริมสายน้ำและทะเล จนต้องบอกกับใจตัวเองว่า มีโอกาสต้องกลับไปอีกแน่ๆ และ...จะไม่พลาดลิ้มรสปลากุเลาที่เลื่องชื่อ (ฮา)
----------------------
(ชวนเที่ยว : ตากใจที่ 'ตากใบ' : เรื่อง / ภาพ ... นพพร วิจิตร์วงษ์)