ไลฟ์สไตล์

ขอแค่ 8 กิโลเมตร เพื่อ 'เชียงคาน' จะได้ไหม ?

ขอแค่ 8 กิโลเมตร เพื่อ 'เชียงคาน' จะได้ไหม ?

26 ก.ค. 2558

หลากมิติเวทีทัศน์ : ขอแค่ 8 กิโลเมตร เพื่อ 'เชียงคาน' จะได้ไหม ? : โดย...ดำรง สุรีย์พรชัย

 
                      เสียงแคนใผเป่า แคนผู้บ่าวผู้สาวเชียงคาน 
 
                      หน้าออกพรรษาเขาพร้อมหน้าสนุกสนาน 
 
                      หมู่เจ้าแข่งเฮือกัน เสียงร้องลั่นก้องริมโขง...
 
                      นั่นเป็นท่อนแรกของเพลง “ออกพรรษาที่เชียงคาน” ขับร้องโดย คม คีรีบูน ประพันธ์โดย ทอง ธนาทิพย์ ที่เริ่มขับขานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 จนกลายเป็นเพลงประจำอำเภอชายแดนแห่งนี้ และเป็นที่มาของงานประจำปี งานออกพรรษาที่เชียงคาน
 
                      เพลงนี้แม้มีคีตลักษณ์และโครงเรื่องแบบเพลงรักทั่วๆ ไป แต่ก็ซ่อนเนื้อหาที่บรรยายถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมประเพณีของเชียงคานไว้อย่างแยบยล จนกลบความหน่อมแน้มไร้สาระแบบเพลงรัก (love song) ลงอย่างสิ้นเชิง และเพลงนี้ น่าจะเป็นสื่อเผยแพร่ภาพลักษณ์ของเชียงคานในอันดับต้นๆ ก่อนพายุที่ชื่อ “การท่องเที่ยว” จะโหมกระหน่ำ
 
 
 
เชียงคานกับความเปลี่ยนแปลง
 
 
                      “เชียงคานไม่เห็นมีอะไร” นั่นเป็นเสียงบ่น และเป็นถึงขนาดเป็นหัวเรื่องของนิตยสารก็เคยมี
 
                      หากแหล่งท่องเที่ยว หมายถึง สถานที่น่าตื่นตาตื่นใจ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นโบราณสถานล้ำค่า หรือที่ที่มีภูเขา น้ำตก มีการล่องแก่ง ล่องแพ หรือที่ที่มีหาดสวย ทะเลใส เชียงคานก็เป็นอย่างเสียงบ่น ...เพราะเชียงคานก็ไม่มีอะไรจริงๆ
 
                      แต่สิ่งที่เชียงคานมี คือ ความเป็นอำเภอเล็กๆ ทอดตัวไปตามแนวพรมแดนไทย-ลาว โดยมีสายน้ำโขงเป็นเส้นแบ่ง เป็นเมืองสงบสมถะ อบอวลไปด้วยวิถีชีวิตของผู้คนที่มีวัดและพุทธศาสนาเป็นแก่นแกน เฉพาะวัดมหานิกายก็มีถึง 9 วัด ไม่นับรวมวัดธรรมยุติกนิกาย วัดป่าและธุดงคสถาน ที่ส่วนใหญ่เรียงรายตามสายน้ำ ทุกเช้า ชาวบ้านต่างพากันออกมาหน้าบ้านร่วมใส่บาตรพระ โดยมีอาคารเรือนไม้เป็นฉากหลัง ภาพประทับนี้ทำให้ประหวัดไปถึง “หลวงพระบาง” เพราะผู้คนทั้งสองแห่ง มีวัตรปฏิบัติแบบเดียวกัน และยังพูดสำเนียงเดียวกันอีกด้วย 
 
                      สิ่งที่เชียงคานมีจึงเหมาะกับผู้รักสันโดษ พึงใจกับความสงบสมถะของสถานที่และวิถีของผู้คน เป็นสรวงสวรรค์ของฝรั่งสะพายเป้ (backpackers) ถึงขนาดเคยยกให้เชียงคานเป็น 1 ใน 7 เมืองน่าอยู่ของโลก
 
                      เมื่อราวปี พ.ศ. 2550 กระแส “ท่องเที่ยวทั่วไทย” ทำให้การท่องเที่ยวในเชียงคานถีบตัวขึ้นถึงจุดสูงสุด จากที่เคยเห็นแต่นักท่องเที่ยวประเภทซำเหมา (backpackers) กลับเป็นภาพของกองทัพนักท่องเที่ยวในรูปของ “ทัวร์” ทั้งมาโดยรถบัสและรถส่วนตัว ชาวบ้านต้องตะลึงลาน เพราะเพิ่งวางไถ วางคราด เพิ่งออกจากไร่ฝ้าย สวนมะขามหวาน ต้องพบกับนักท่องเที่ยวชนิดมืดฟ้ามัวดิน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล
 
                      ชาวบ้านที่ไวต่อความเปลี่ยนแปลงตอบรับกระแสด้วยการดัดแปลงบ้านเรือนให้เป็นที่พักภายใต้ชื่อ โฮมสเตย์ ซึ่งในความเป็นจริงก็คือการแบ่งห้องให้เช่าและเก็บค่าที่พักรายวัน หาใช่การพักแรมเพื่อซึมซับวิถีชีวิตของเจ้าของบ้านตามนัยของโฮมสเตย์ไม่ แล้วก็เกิดถนนคนเดิน เกิดร้านรวงจำหน่ายสินค้าทั้งสินค้าพื้นบ้านและสินค้าจากภายนอก แบบที่วางเกลื่อนในแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มทุนจากตัวจังหวัดก็เริ่มเคลื่อนทุนเข้าเชียงคาน ก่อนที่จะผุดธุรกิจที่พัก เช่น โรงแรม ทั้งในรูปของบูติกโฮเทล และโรงแรมขนาดใหญ่ รวมถึงรีสอร์ต ที่กระจายอยู่รอบนอกและแทรกแซมในเขตถนนคนเดิน
 
                      เสียงบ่นว่าข้าวของ อาหารการกิน ค่าที่พักแพงดังขึ้นเรื่อยๆ ผสมกับเสียงอุทธรณ์เบาๆ ของพระสงฆ์ ที่บ่นไม่อยากไปบิณฑบาตแถวถนนคนเดิน เพราะต้องฟังคำสั่งให้หยุด ให้เดิน ให้เปิดฝาบาตร ปิดฝาบาตร เพื่อให้การเซลฟี่สมบูรณ์แบบ
 
                      “ดีนะ... อาตมาไม่วางมือที่ประคองบาตรข้างหนึ่ง แล้วยกนิ้วแบบ “กดไลค์” เอาใจญาติโยม”
 
 
 
เชียงคานอีกมิติ
 
 
                      เชียงคาน คือ เมืองชายแดนที่เป็นจุดแรกที่สายน้ำโขงโผล่จากแผ่นดินลาวเข้ามายังไทยอีกครั้ง และเคียงคู่ไปกับสายน้ำสายโขงรวมระยะทางกว่า 59 กิโลเมตร และเป็น 59 กิโลเมตรที่พื้นที่ทุกตารางนิ้ว ทั้งบนฝั่ง ชายฝั่ง ริมน้ำ และในน้ำ อุดมไปด้วยพืชพรรณและสัตว์น้ำ และวิถีชีวิตชาวบ้านที่ปลูกผักริมฝั่งโขงที่ดำเนินกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ ตลอดจนวิถีชาวประมงในแม่น้ำโขง
 
                      ที่สำคัญ ระบบนิเวศชายน้ำของเชียงคานกำลังได้รับการเสนอให้ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับโลก (Ramsar site) ตามอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับโลก (Ramsar Convention on Wetlands of International Importance) เมื่อ ปี พ.ศ. 2549 ทากาชิเกะ ไอดิเอะ นักวิจัยชาวญี่ปุ่น พบว่า เชียงคานเป็นสถานที่แห่งเดียวในโลก ที่มีพืชน้ำที่กำลังจะสูญพันธุ์ ในทางพฤกษศาสตร์เรียกพืชชนิดนี้ ว่า Cryptocoryne loeiensis ชาวบ้านเรียกกันว่า ต้นกาบปลี และเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 Species Survival Commission แห่งองค์การสหพันธ์นานาชาติเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและธรรมชาติ (IUCN) ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้มีการอนุรักษ์และชะลอโครงการพัฒนาอันเป็นอันตรายต่อพืชดังกล่าวแล้ว
 
 
 
หลากหลายความหวังดี
 
 
                      ด้วยภาพลักษณ์และความเฟื่องฟูของการเป็นเมืองท่องเที่ยว เชียงคานจึงถูกผู้มีอำนาจหน้าที่ทุกระดับรุมประคบประหงม ต่างก็กำหนดแผนในอันจะส่งเสริมการท่องเที่ยว ภายใต้นิยาม “เชียงคาน คือ เมืองท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม”
 
                      ขณะท่องบ่นนิยามเชียงคานก็ผุดโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันแม่น้ำโขง ของกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการกัดเซาะริมตลิ่งแม่น้ำโขง และเพื่อให้ออกแนวการท่องเที่ยว ก็พ่วงวัตถุประสงค์อีกข้อว่า เพื่อทำเป็นช่องทางปั่นจักรยาน 
 
                      โครงการสร้างเขื่อนมีประสิทธิภาพประสิทธิผลจริงเฉพาะในเขตชุมชน เช่น ในตัวอำเภอเชียงคานที่มีอาคารเรือนไม้ เพราะมีการกัดเซาะจนเกิดปัญหา แต่ไม่ใช่พื้นที่นอกชุมชน ที่ธรรมชาติได้สร้างแนวปราการด้วยพืชนานาพรรณ บางแห่งยังมีการงอกของชายฝั่งเสียด้วยซ้ำ 
 
                      ในนามของความหวังดี เขื่อนได้ทำลายระบบนิเวศริมตลิ่ง จากการขุดและถมด้วยหินและเทคอนกรีต อาชีพทำเกษตรริมน้ำหายไปในพริบตา มิพักต้องพูดถึงพืชน้ำ ต้นกาบปลี พืชที่ควรอนุรักษ์กลับต้องจ่อมจมอยู่ใต้ตัวเขื่อน ที่หนักกว่านั้น คือ ตัวเขื่อนที่เป็นเส้นตรง ได้ทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งต่างจากตลิ่งธรรมชาติที่มีสภาพคดเคี้ยว ทำให้ลดแรงกระแทกและดูดซับกระแสน้ำ
 
                      กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวเพราะขาดสิ่งดูดซับ ทำให้พื้นที่ถูกตัดจนกลายสภาพเป็น “เกาะ” หรือ “ดอน” ซึ่งตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.122 ระบุ ให้เกาะในแม่น้ำโขงทั้งหมดเป็นของลาว เป็นการทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเช่นที่เกิดขึ้นแล้วที่ อ.ปากชม
 
                      ทั้งนี้ ไม่นับรวมการส่อไปในทางฉ้อฉลของโครงการ อาทิ การดำเนินการโครงการอย่างรวบรัด ไม่ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วม หลีกเลี่ยงการทำการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ด้วยการหั่นซอยโครงการออกเป็นช่วงสั้นๆ
 
                      เมื่อมีการทักท้วงจากผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ ขอให้มีการทบทวนโครงการและดำเนินการให้ถูกต้องตามกระบวนการการมีส่วนร่วมก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาละเมิดกฎหมาย โดยได้ยื่นหนังสือคัดค้านโครงการฯ ถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย และจังหวัดทหารบกเลย (จทบ.เลย) เพราะว่ากันว่า ในยุค คสช. มีการตัดสินใจรวดเร็วฉับไว หนังสือยื่นตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2558 แต่จนป่านนี้ ทุกอย่างยังเงียบหายไปกับสายน้ำโขง
 
                      การเงียบหาย มิใช่ความไม่ใส่ใจหรือละเลยต่อหน้าที่ ตรงกันข้าม ทางจังหวัดและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในเชียงคาน กลับเร่งมือล่ารายชื่อชาวบ้าน เพื่อสนับสนุนโครงการ โดยไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่รอบด้าน ทำในขณะที่ชาวบ้านไปทำบุญที่วัด และยังแอบแฝงด้วยการรณรงค์ปลูกมะละกอริมตลิ่งขึ้นบังหน้า แล้วให้ประชาชนที่เข้าร่วมลงลายมือชื่อสนับสนุนการก่อสร้างเขื่อน ขณะเดียวกัน ผู้รับเหมาก็เร่งงานก่อสร้างเขื่อน ตามจุดที่หั่นซอยไว้ เพื่อต่อภาพ “จิกซอว์เลี่ยง EIA” จนพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำโขงของเชียงคานพรุนไปหมดแล้ว 
 
                      เมื่อสุดที่จะต้านทาน กลุ่มผู้ร้องเพื่อขอให้ทบทวนและปฏิบัติตามกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งได้แก่เจ้าของที่ดินบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงและชาวเชียงคาน จึงขีดวงให้แคบเข้า โดยขอสงวนพื้นที่จากปากห้วยเข็มถึงปากน้ำเลย ระยะทาง 8 กิโลเมตร เพื่อเป็นรูหายใจให้แก่เชียงคาน และเพื่อเป็นอนุสรณ์เพื่อไว้อาลัย ว่า 
 
                      ครั้งหนึ่ง... “เชียงคาน คือ เมืองท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม”
 
 
 
 
----------------------
 
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ขอแค่ 8 กิโลเมตร เพื่อ 'เชียงคาน' จะได้ไหม ? : โดย...ดำรง สุรีย์พรชัย)