ไลฟ์สไตล์

ร้านน้ำชานครศรีธรรมราชเสิร์ฟฟ้าทะลายหวัดแทน

ร้านน้ำชานครศรีธรรมราชเสิร์ฟฟ้าทะลายหวัดแทน

17 ก.ค. 2552

นครศรีธรรมราช ฮิตสู้หวัดงัด “ฟ้าทะลายโจร”สร้างภูมิคุ้มกันหวัด 2009 ร้านน้ำชาหัวใสหาบริการลูกค้า-เผยพืชกระท่อมสรรพคุณต้านเชื้อหวัดมรณะ "สนั่น" โต้ "โพลระบุ ประชาชนไม่เชื่อมั่นมาตรการรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขในการควบคุมไข้หวัดฯ 2009 ยัน สาธารณสุขทำงานเต็มที

 (17ก.ค.) จากการออกมาเปิดเผยเรื่องสมุนไพรไทย”ฟ้าทะลายโจร” สามารถป้องกันเชื้อไข้หวัด 2009 ได้ ทำให้ประชาชนในจังหวัดนครศรีธรรมราชแตกตื่นเสาะหาฟ้าทะลายโจรมาบริโภคกันอย่างกว้างขวาง ทั้งบริโภคแบบสด ๆ หรือบดเป็นผงปั้นเป็นยาลูกลอน และบรรจุแคปซูล ทำให้ร้านขายยาแผนแผนไทยคึกคักสามารถจำหน่ายสมุนไพรไทย”ฟ้าทะลายโจร” เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

            ผู้สื่อข่าวรายได้รับรายงานร้านขายน้ำชา กาแฟ ริมถนนในตัวเมืองนครศรีธรรมราชเกือบทุกร้านจะนำฟ้าทะลายโจร”ทั้งที่แตกแห้ง บดเป็นผงและใบสด ๆ มาใส่ในกาน้ำร้อนแทนใบชา โดยลูกค้าพากันซดน้ำร้อนฟ้าทะลายโจรอย่างกว้างขวาง ในขณะที่หลาย ๆ ร้านนำพืชกระท่อมสดหรือแตกแห้งมาใส่ในกาน้ำร้อนแทนใบชาด้วย โดยบางร้านจะใส่ผสมกันกับฟ้าทะลายโจร โดยเชื่อว่าหากฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณสร้างภูมิคุ้มกันต้านเชื้อไข้หวัด 2009 จริง พืชกระท่อมก็น่าจะมีสรรพคุณต้านเชื้อหวัด 2009 ได้เช่นเดียวกัน

 นายเลิศ อักษรนิตย์ อายุ 52 ปี กล่าวว่า หลังจากมีการเผยแพร่เรื่องฟ้าทะลายโจรสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อไข้หวัด 2009 ทำให้ผู้คนเสาะหาฟ้าทะลายโจรมาบริโภคกันอย่างกว้างขวาง แม้จะมีรสขมมาก ๆ ก็ตาม ซึ่งฟ้าทะลายโจรจัดเป็นสมุนไพรไทยที่รู้จักและใช้บริโภคเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ มานานแล้ว เมื่อทางการแพทย์ออกมาระบุชัดเจนว่าสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านไข้หวัด 2009 ทำให้ประชาชนจำนวนมากฮือฮาและเสาะหาฟ้าทะลายโจรมาบริโภคในรูปแบบต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการนำมาใส่ในน้ำร้อนแทนใบชา ร้านขายน้ำชา กาแฟในเขตเทศบาลนคร นครศรีธรรมราชตอนกลางคืนซึ่งมีอยู่ทุกตรอกซอกซอยได้นำใบฟ้าทะลายโจรทั้งใบสด ๆ ตากแห้งและบดเป็นผงมาใส่ในกาน้ำร้อนแทนใบชาเกือบทุกร้าน โดยเฉพาะร้าน"รุนทก” หน้าธนาคารอาคารสงเคราะห์ ตลาดท่าม้า ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ผู้คนที่ทราบข่าวจะแห่มาอุดหนุนอย่างเนื่องแน่น โดยมีลูกค้ามากขึ้นกว่าเท่าตัว

 “สำหรับพืชกระท่อมที่หลายคนเชื่อว่าน่าจะมีสรรพคุณต่อต้านเชื้อไข้หวัด 2009 เช่นเดียวกับฟ้าทะลายโจร ตนไม่แน่ใจว่ามีสรรพคุณอย่างนั้นหรือไม่ แต่หากเรื่องลดความดันโลหิต หรือลดเบาหวานนั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว คนในสมัยก่อนทราบสรรพคุณดี และความจริงทางการแพทย์เขาก็ทราบสรรพคุณทางยาของพืชกระท่อมเป็นอย่างดี และพยายามที่จะแก้กฎหมายปลดปล่อยพืชกระท่อมจาก พ.ร.บ.ยาเสพติด เพื่อเป็นสมุนไพรไทยที่ถูกต้องตามกฎหมายหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ในขณะที่ต่างประเทศ เช่น

 ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นำไปปลุกและขยายพันธ์ สกัดเป็นตัวยานำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์อย่างกว้างขวาง แต่ประเทศไทยพืชกระท่อมเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการนำพืชกระท่อมมาต้มกับส่วนผสมต่าง ๆ เป็นยาเสพติดสูตรต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหมู่เด็กและเยาวชน เช่น สูตร 4 คูณ 100 เป็นต้น จนมีการประกาศทำสงครามกับพืชกระท่อม โดยการสรุปตัวเลขการตัดโค่นทำลายพืชกระท่อมในจังหวัดนครศรีธรรมราชไปแล้วเกือบ 10,000 ต้น ทำให้สูญเสียพืชที่สีเขียวไปไม่น้อย และสวนทางกับการ รณรงค์ลดภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะนโยบายปลูกต้นไม้ทดแทนที่ต้องใช้งบประมาณอย่างมากมายมหาศาล “นายเลิศ กล่าว

"สนั่น"โต้"โพล"ยันสาธาณสุขทำงานเต็มที่แล้วแก้หวัด

  พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมแก้ไขสถานการณ์การระบาดใหม่ของไข้หวัดใหญ่  ให้สัมภาษณ์กรณีสวนดุสิตโพลระบุว่าประชาชนกว่า 80 % ไม่เชื่อมั่นกับมาตรการของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ว่า กระทรวงสาธารณสุขทำงานอย่างเต็มที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ต่างมาช่วยกันคิด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อมีการระบาดจากคนสู่คนแล้ว การหยุดยั้งคงทำไม่ได้ อยู่ที่จะป้องกันและรักษาอย่างไร หากเป็นก็ต้องรักษาให้ได้ และหยุดอยู่บ้านทันที ขอให้ช่วยกันเฝ้าระวัง รู้จักป้องกันตัวเอง เวลานี้หลายประเทศก็ไม่ได้ตื่นเต้นกันแล้ว เพราะถือเป็นโรคระบาด ต้องหาวัคซีนและยามาป้องกันกันให้เร็วที่สุด

 เมื่อถามว่า จะกระทบต่อความมั่นใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลหรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า เมื่อมีโรคระบาดจะไปโทษนักการเมืองคงไม่ได้ พยายามทำกันถึงที่สุดแล้ว และประเทศไทยก็ระบาดช้ากว่าที่อื่น แต่เมื่อมันระบาดคนสู่คนก็ต้องกระจายไปทั่ว

โพล"ชี้ประชาชนส่วนใหญ่ ม่เข้าใจการป้องกันหวัดฯ2009
 
 ทั้งนี้ดร.นพดล  กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจ “เอแบคเรียลไทม์โพลล์ (Real-Time Survey)” ที่เป็นการสำรวจแบบรวดเร็วฉับไวภายในระยะเวลาประมาณ 10 ชั่วโมงผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์ โดยครั้งนี้ได้ทำการสำรวจเรื่อง ความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ “ไข้หวัด 2009”:  กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ แพร่ ลำปาง นครนายก จันทบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี ชลบุรี นครพนม ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นราธิวาส และสงขลา จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 1,215 ครัวเรือน ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15-16 กรกฎาคม 2552 ผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 38.6 มีความเข้าใจอย่างดีเพียงพอแล้ว ถึงแนวทางการป้องกันไข้หวัด 2009 และร้อยละ 61.4 ยังไม่เข้าใจดีพอว่าจะป้องกันอย่างไร

 และเมื่อถามถึงการปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ในสถานที่ต่างๆ นั้นพบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่คือร้อยละ 88.7 ไม่ใส่หน้ากากเมื่ออยู่ในคอนโดมิเนียม/หอพัก/อพาร์ทเมนต์ในขณะที่ร้อยละ 11.3 ไม่ใส่หน้ากาก สำหรับการปฏิบัติตัวเมื่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ นั้น พบว่าตัวอย่างมากกว่า 2 ใน 3 คือร้อยละ 73.8 ระบุไม่ใส่หน้ากากและร้อยละ 26.2 ระบุใส่หน้ากาก  และเมื่อเดินทางไปห้างสรรพสินค้านั้น ตัวอย่างร้อยละ 28.3 ใส่หน้ากาก  ร้อยละ  71.7 ไม่ใส่

   นอกจากนี้พบว่า   ร้อยละ 30.9 ใส่หน้ากากเมื่อไปโรงภาพยนตร์/สถานบันเทิง ในขณะที่ร้อยละ 69.1 ไม่ใส่  ตัวอย่างร้อยละ 36.5 ใส่หน้ากากเมื่ออยู่บนรถโดยสาร รถเมล์ รถแท็กซี่ ในขณะที่ร้อยละ 63.5 ไม่ใส่   ร้อยละ 36.8  ใส่หน้ากากเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากแต่มากกว่าครึ่งหนึ่ง คือ ร้อยละ 63.2 ไม่ใส่  สำหรับการเดินทางไปโรงเรียน/มหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษานั้นพบว่าร้อยละ 38.9 ใส่หน้ากาก  ร้อยละ 61.1 ไม่ใส่

    ที่น่าพิจารณา คือ การเดินทางไปโรงพยาบาล/คลีนิค/ สถานพยาบาลนั้น พบว่า ร้อยละ 47.4 ใส่หน้ากาก ในขณะที่ร้อยละ 52.6 ระบุไม่ใส่ นอกจากนี้ยังพบว่า ประชาชนร้อยละ 32.1 กลับมาอาบน้ำทันที ภายหลังกลับมาจากนอกบ้าน ในขณะที่ร้อยละ 67.9 ระบุไม่ได้อาบน้ำทันที

 ทั้งนี้เมื่อถามถึงความรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายหรือเป็นไข้หวัดนั้น พบว่า ประชาชนร้อยละ 10.7 รู้สึกไม่ค่อยสบาย/สงสัยจะเป็นไข้หวัด 2009  ในขณะที่ร้อยละ 89.3 รู้สึกสบายดี ไม่เป็นอะไร

 ดร.นพดล กล่าวว่า ที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือ ผลวิเคราะห์สถิติวิจัย Odds Ratio ในการวิจัยครั้งนี้พบ ค่าอิทธิพลของปัจจัยเสี่ยงที่มีต่อการไม่สบายจากไข้หวัด 2009 ในกลุ่มประชาชนทั่วไป ได้แก่ ผู้ที่เดินทางโดยรถโดยสาร รถเมล์ รถแท็กซี่โดยไม่ใส่หน้ากาก จะมีภาวะความเสี่ยงต่อการไม่สบายจากไข้หวัด 2009  สูงเกือบ 4 เท่า คือ 3.832  เท่าของผู้ที่ใส่หน้ากาก

 ผู้ที่เดินทางไปสถานที่ที่มีคนอยู่จำนวนมากโดยไม่ใส่หน้ากาก จะมีภาวะความเสี่ยงต่อการไม่สบายจากไข้หวัด 2009   คิดเป็น 2.297  เท่าของผู้ที่ใส่หน้ากาก

 ผู้ที่เดินทางไปห้างสรรพสินค้าโดยไม่ใส่หน้ากาก จะมีภาวะความเสี่ยงต่อการไม่สบายจากไข้หวัด 2009 คิดเป็น 2.174  เท่าของผู้ที่ใส่หน้ากาก

 ผู้ที่เดินทางไปโรงพยาบาล คลีนิค สถานพยาบาลโดยไม่ใส่หน้ากาก จะมีภาวะความเสี่ยงต่อการไม่สบายจากไข้หวัดใหญ่ คิดเป็น  2.168 เท่าของผู้ที่ใส่หน้ากาก

 อย่างไรก็ตามผลการวิเคราะห์พบว่า สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ   โรงภาพยนตร์ สถานบันเทิง โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษา ไม่เป็นสถานที่เสี่ยงที่จะทำให้ไม่สบายจากโรคไข้หวัด 2009 

 ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงความต้องการให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งหน้ากากป้องกันไข้หวัด 2009 ไปให้ที่บ้านนั้น พบว่า ประชาชนร้อยละ 62.8 ต้องการให้ส่งหน้ากากมาที่บ้าน ร้อยละ 14.8 ต้องการให้ส่งมาที่สถานีอนามัย/สถานพยาบาลใกล้บ้าน ในขณะที่ ร้อยละ 22.4 ระบุไม่ต้องการ

 และเมื่อถามถึงการปกปิดข้อมูลที่แท้จริงเรื่องไข้หวัด 2009 นั้น พบว่า ประชาชนร้อยละ 45.8 คิดว่ารัฐบาลกำลังปกปิดข้อมูลที่แท้จริงอยู่ ในขณะที่ ร้อยละ 54.2 ไม่คิดว่ารัฐบาลกำลังปกปิดอะไร

 ในขณะที่เมื่อสอบถามถึงความกังวลของประชาชนต่อการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัด 2009 นั้น พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งคือ ร้อยละ 61.1 มีความกังวลค่อนข้างมาก-มากที่สุด   ร้อยละ 18.4 ระบุปานกลาง และร้อยละ 20.5 ระบุค่อนข้างน้อย-ไม่รู้สึกกังวลเลย

 อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบระหว่างความคาดหวังกับการพบเห็น/รับรู้ว่ามีการปฏิบัติจริงเกี่ยวกับมาตรการป้องกันแก้ไขไข้หวัด 2009 ของรัฐบาล เมื่อพิจารณาในกลุ่มผู้ที่มีความคาดหวังมาก-มากที่สุดนั้น พบว่าประชาชนพบเห็นการปฏิบัติจริงต่ำกว่าที่คาดหวังไว้จากรัฐบาล  โดยร้อยละ 41.1 มีความคาดหวังมาก-มากที่สุด  แต่กลับพบว่ามีเพียงร้อยละ 28.9 ที่พบเห็นว่ารัฐบาลมีการปฏิบัติจริงในระดับมาก-มากที่สุด  (ส่วนต่างเท่ากับ -12.2)  และเมื่อพิจารณาความคาดหวัง-ความเป็นจริงในระดับปานกลางนั้นพบว่าร้อยละ 43.2 มีความคาดหวังในขณะที่ร้อยละ 47.7 พบเห็นว่ามีการปฏิบัติจริง (ส่วนต่างเท่ากับ + 4.5)  สำหรับในกลุ่มที่มีความคาดหวัง-ความเป็นจริงในระดับน้อย-ไม่มีเลยนั้นพบว่า  ร้อยละ 15.7 มีความคาดหวัง ในขณะที่ร้อยละ 23.4 พบเห็นว่ามีการปฏิบัติจริง  (ส่วนต่างเท่ากับ +7.9)

 ดร.นพดล กล่าวปิดท้ายถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลในการควบคุมการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 ว่า ตัวอย่างร้อยละ 46.1 ค่อนข้างเชื่อมั่น-เชื่อมั่น ในขณะที่ร้อยละ 53.9 ระบุ ไม่ค่อยเชื่อมั่น-ไม่เชื่อมั่น