ไลฟ์สไตล์

ดูแลสุขภาพ:ผู้ป่วยธาลัสซีเมียเกิดใหม่เพิ่มสูงขึ้น

ดูแลสุขภาพ:ผู้ป่วยธาลัสซีเมียเกิดใหม่เพิ่มสูงขึ้น

25 พ.ค. 2558

ผู้ป่วยธาลัสซีเมียเกิดใหม่เพิ่มสูงขึ้น : คอลัมน์ ดูแลสุขภาพ

 
          ในปีนี้เป็นปีที่ 14 หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างรณรงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติและสร้างการตระหนักถึงความสำคัญของเตรียมความพร้อมก่อนการแต่งงาน เพื่อลดอัตราผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียในอนาคต 
 
          โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นโลหิตจางทางพันธุกรรมเกิดจากการสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติหรือน้อยลง จนส่งผลให้เม็ดเลือดแดงผิดปกติและมีอายุสั้น ผู้ป่วยจึงมีอาการซีด อาการเลือดจางเรื้อรังและมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา อาทิ กระดูกใบหน้าเปลี่ยน กระดูกบางเปราะหักง่าย ร่างกายแคระแกรน ท้องป่อง ตับโต ม้ามโต และหากมีภาวะเหล็กเกินจากการได้รับยาขับธาตุเหล็กไม่สม่ำเสมอจะทำให้ผิวคล้ำ ตับแข็ง เป็นเบาหวาน และหัวใจล้มเหลว เป็นต้น
 
          โรคนี้สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมหรือยีนของธาลัสซีเมียจากพ่อและแม่มาสู่ลูก โดยการถ่ายทอดพันธุกรรมนี้นับว่ามีอัตราสูงอย่างมากในประเทศไทย ประมาณร้อยละ 1 ของประชากรไทย สามารถแบ่งประเภทของโรคเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ 1.โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดแอลฟ่า และ 2.โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดเบต้า 
 
          “จากรายงานจะพบว่าจากจำนวนคู่สมรสเสี่ยงที่ค้นพบนี้ อาจทำให้เกิดผู้ป่วยรายใหม่ขึ้นได้หากว่าคู่สมรสเสี่ยงหรือผู้มีอัตราเสี่ยงเป็นโรคธาลัสซีเมียคนอื่นๆ ขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโรค เพราะการที่ร่างกายแข็งแรงและสุขภาพดีนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันว่าจะไม่ได้เป็นพาหะของโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดอัตราการเกิดผู้ป่วยรายใหม่ได้เป็นอย่างดี คือ การวางแผนครอบครัว ด้วยการตรวจเลือดก่อนที่จะวางแผนแต่งงานหรือมีบุตร หากทราบว่าเป็นคู่เสี่ยงของการมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการวินิจฉัยหรือป้องกัน ได้แก่ การตรวจวินิจฉัยโรคก่อนคลอด ซึ่งหากพบว่าเป็นโรคธาลัสซีเมียสามารถพิจารณายุติการตั้งครรภ์ได้”
 
          ทั้งนี้การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะทำให้ทราบถึงความเสี่ยงของการมีลูกได้ ดังนี้ 
          1.ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียมีคู่แต่งงานเป็นพาหะธาลัสซีเมียในกลุ่มเดียวกัน โอกาสมีบุตรเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย 50% 
          2.และเป็นพาหะธาลัสซีเมีย 50%
          3.ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียมีคู่แต่งงานที่เป็นปกติ (ไม่เป็นพาหะของธาลัสซีเมีย) บุตรทุกคนจะเป็นพาหะ 
          4.ผู้ที่เป็นพาหะธาลัสซีเมียมีคู่แต่งงานเป็นพาหะธาลัสซีเมียในกลุ่มเดียวกัน โอกาสมีบุตรเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย 25% เป็นพาหะธาลัสซีเมีย 50% และปกติ 25%
 
          สำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ควรจะต้องดูแลรักษาสุขภาพอย่างถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้นเนื่องด้วยปัจจัยทางร่างกายที่จะต้องเจริญเติบโตตามวัย ซึ่งหากดูแลและปฏิบัติตนเองได้เป็นอย่างดี จะช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตในช่วงวัยรุ่นได้ใกล้เคียงปกติและสามารถมีครอบครัวได้ในอนาคต รายละเอียดแบ่งได้ดังนี้
          - ดูแลสุขภาพทั่วไป ด้วยการออกกำลังกายเท่าที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ผาดโผน เนื่องจากผู้ป่วยจะมีกระดูกบางเปราะและหักง่าย งดการสูบบุหรี่และการดื่มเหล้าเพราะมีผลต่ออาการซีดและตับ
 
          - อาหาร รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ผักสดและผลไม้สด ซึ่งจะมีวิตามิน “โฟเลท” ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง สำหรับอาหารที่ควรละเว้นคืออาหารที่มีธาตุเหล็กสูงมาก ได้แก่ เลือดสัตว์ต่างๆ ทั้งนี้เครื่องดื่มประเภทน้ำชา น้ำเต้าหู้ จะสามารถช่วยลดการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารออกได้บ้าง
 
          - ยา ไม่ควรรับประทานยาบำรุงเลือดเองเพราะอาจเป็นยาที่มีธาตุเหล็ก ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ป่วยธาลัสซีเมียและควรรับประทานวิตามินโฟเลทที่จะช่วยเสริมให้มีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ดีขึ้น
 
          - การให้เลือดและยาขับธาตุเหล็ก การให้เลือดจะให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มที่มีอาการรุนแรงและซีดมากเท่านั้น ซึ่งเมื่อผู้ป่วยได้เลือดประมาณ 10-20 ครั้ง จะทำให้ผู้ป่วยมีภาวะเหล็กเกิน ดังนั้นแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้พิจารณาถึงความจำเป็นในการให้เลือดและยาขับเหล็ก สำหรับผู้ป่วยธาลัสซีเมียที่มีภาวะเหล็กเกิน สามารถเข้าถึงยาขับเหล็กในรูปแบบยาฉีดดีเฟอร์ร็อกซามีน และยาดีเฟอริโพรน ซึ่งเป็นยาชนิดรับประทานที่ผลิตขึ้นเองในประเทศไทย  
 
          - การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต เป็นการรักษาที่หายขาดทำในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงที่ได้รับเลือดเป็นประจำและได้ยาขับเหล็กสม่ำเสมอได้แก่ผู้ป่วย โฮโมซัยกัสเบต้าธาลัสซีเมียและเบต้าธาลัสซีเมียฮีโมโกลบินอี ข้อมูลจากมูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทยผลการรักษาด้วยการวิธีนี้ตั้งแต่ พ.ศ.2531-2554 ได้ให้การรักษาผู้ป่วย 255 รายพบว่า หายขาด 215 ราย (84.3%) กลับเป็นโรคเดิม 15 ราย (5.9%) และเสียชีวิต 25 ราย (9.8%)  
รศ.นพ.กิตติ ต่อจรัส 
รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัย
วิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร 
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคธาลัสซีเมีย
โรงพยาบาลพระมงกุฎ
 
.........................................
(หมายเหตุ ผู้ป่วยธาลัสซีเมียเกิดใหม่เพิ่มสูงขึ้น : คอลัมน์ ดูแลสุขภาพ)