ไลฟ์สไตล์

ร่างกฎหมายทรัพยากรน้ำ ต้องกระจายอำนาจให้ชุมชนลุ่มน้ำ

ร่างกฎหมายทรัพยากรน้ำ ต้องกระจายอำนาจให้ชุมชนลุ่มน้ำ

24 พ.ค. 2558

หลากมิติเวทีทัศน์ : ร่างกฎหมายทรัพยากรน้ำ ต้องกระจายอำนาจให้ชุมชนลุ่มน้ำ : โดย...ศยามล ไกยูรวงศ์

 
                       การพัฒนาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.... เป็นความคิดริเริ่มของสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมกับมูลนิธิเอเชีย และโครงการสานเสวนาในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิรูประบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ หลังประเทศไทยได้ประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่เมื่อ พ.ศ.2554 แนวคิดมุมมองของภาคประชาชนมิได้พิจารณาที่การจัดโครงสร้างการบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำแบบระบบบังคับบัญชาเดี่ยว (single command) ในลักษณะบนลงล่าง   
 
                       แต่จากประสบการณ์ในพื้นที่ของประชาชนมีความเห็นว่า พื้นที่ลุ่มน้ำที่น้ำท่วมถึงจะปรับตัวอยู่ร่วมกับน้ำได้อย่างไร และพื้นที่ลุ่มน้ำที่เป็นต้นน้ำควรอนุรักษ์น้ำอย่างไรควบคู่กับการดำรงชีวิตที่ต้องพึ่งพาน้ำในการอุปโภคบริโภค และการประกอบกิจการที่ใช้น้ำในปริมาณมากขึ้นนอกเหนือจากการทำการเกษตรกรรม ดังนั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งมีวิถีชีวิตอยู่กับน้ำ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการบริหารจัดการน้ำที่แก้ไขปัญหาที่สาเหตุได้อย่างแท้จริง 
 
                       ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในประเทศไทยมีความซับซ้อนเริ่มต้นตั้งแต่การสร้างเมือง โรงงานอุตสาหกรรม หมู่บ้านจัดสรร รีสอร์ท เขื่อน และโครงสร้างพื้นฐานที่ไร้ระบบ โดยไม่ได้คำนึงระบบนิเวศวิทยาของลุ่มน้ำ จึงทำให้สิ่งก่อสร้างดังกล่าวกีดขวางทางเดินของน้ำ การสร้างเขื่อนเพื่อควบคุมทิศทางน้ำไหลและกักเก็บปริมาณน้ำโดยภาครัฐนอกเหนือจากการตัดสินใจนั้นผูกขาดโดยฝ่ายการเมืองและวิศวกรแล้ว ยังสร้างปัญหาความขัดแย้งที่มาจากการใช้น้ำเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มอย่างไม่เท่าเทียม 
 
                       สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และภาคประชาสังคมได้ร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย มีความเห็นว่า ภายใต้บริบทของสังคมไทย การให้สิทธิในทรัพยากรน้ำเป็นของรัฐและเอกชน รวมทั้งการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบรวมศูนย์ที่รัฐส่วนกลาง ส่งผลให้เกิดการทำลายทรัพยากรน้ำทั้งในรูปแบบให้อนุญาตสัมปทานแก่เอกชน และการบริหารจัดการโดยรัฐเพียงลำพังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ในสภาวะที่รัฐบาลอ่อนแอ และระบบราชการแข็งตัว
 
 
ร่างกฎหมายทรัพยากรน้ำ ต้องกระจายอำนาจให้ชุมชนลุ่มน้ำ
 
 
                       ดังนั้นเจตนารมณ์ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.... จึงอยู่บนฐานของแนวคิดและหลักการที่สำคัญดังนี้
 
                       1.แนวคิดการกระจายอำนาจหน้าที่การจัดการน้ำไปที่ชุมชนในลุ่มน้ำให้บริหารจัดการอย่างบูรณาการร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาการรวมศูนย์การบริหารจัดการที่ไม่บูรณาการกัน โดยมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกันตั้งแต่ระดับองค์กรผู้ใช้น้ำ ลุ่มน้ำสาขา ระดับลุ่มน้ำและระดับชาติ องค์ประกอบของคณะกรรมการเป็นแบบพหุภาคี จากภาคองค์กรผู้ใช้น้ำ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ภาครัฐ และภาคท้องถิ่นในทุกระดับ 
 
                       2.สิทธิในทรัพยากรน้ำเป็นของส่วนรวม (Water Collective Right) หมายถึงสิทธิในการเข้าถึงและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกันทั้งรัฐ ประชาชน และชุมชน ทั้งนี้ต้องกำหนดมาตรการทางกฎหมายที่ให้ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรน้ำอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยใช้หลักการกระจายสิทธิในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรน้ำตามศักยภาพของลักษณะการใช้ประโยชน์ในแหล่งน้ำสาธารณะ ซึ่งแบ่งเป็น 5 ประเภท คือ การใช้ประเภทที่หนึ่ง การใช้น้ำเพื่อการดำรงชีพ อุปโภคบริโภคในครัวเรือน ประเภทที่สอง การใช้น้ำเพื่อจารีตประเพณี รักษาระบบนิเวศและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ประเภทที่สาม การใช้น้ำเพื่อการเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์รายย่อย และการอุตสาหกรรมในครัวเรือน ประเภทที่สี่ การใช้น้ำเพื่อการเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์รายใหญ่ การอุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และการผลิตพลังงานไฟฟ้า และประเภทที่ห้า การใช้น้ำทุกประเภทเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำปริมาณมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มน้ำหรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง ทั้งนี้การใช้น้ำประเภทที่สี่และประเภทที่ห้าซึ่งเป็นกิจการที่ต้องใช้น้ำจำนวนมากหรืออาจมีผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ จะต้องได้รับใบอนุญาตในการใช้น้ำและค่าใช้น้ำตามหลักผู้ใช้เป็นผู้จ่าย
 
                       3.สิทธิชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (Water Management Collective Right) เนื่องด้วยสังคมไทยยังมีการจัดการลุ่มน้ำที่ใช้หลักคิดและจารีตประเพณีของชุมชนแต่ดั้งเดิม และมีพัฒนาการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ โดยมีการรวมกลุ่มเป็นชุมชนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ของการแย่งชิงทรัพยากรน้ำ ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง   
 
                       ดังนั้นจึงจำเป็นที่กฎหมายต้องรับรองสิทธิของชุมชนเพื่อคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมให้การบริหารจัดการทรัพยากรในลุ่มน้ำมีความเข้มแข็ง โดยร่วมกับหลายภาคที่เกี่ยวข้องในลุ่มน้ำ สิทธิดังกล่าว ได้แก่ สิทธิในการบริหารจัดการ การอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างสมดุลและยั่งยืน นอกจากนี้ชุมชนจำเป็นต้องมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจงและเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต และชุมชนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาการพัฒนาโครงการพัฒนาต่างๆ ตลอดจนมีส่วนร่วมในการฟ้องคดี หรือร้องทุกข์เมื่อมีการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐต่อประชาชน
 
                       4.เครื่องมือของการบริหารจัดการทรัพยากรในลุ่มน้ำจำเป็นต้องมีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Impact Assessment/SEA) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในระบบลุ่มน้ำ ทั้งข้อมูลของระบบนิเวศ ปริมาณน้ำ การใช้ประโยชน์จากน้ำในทุกกิจกรรม และลักษณะของชุมชนในลุ่มน้ำ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ทั้งทางวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบสมดุลและยั่งยืน 
 
                       5.กลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ร่างกฎหมายกำหนดให้นำรายได้จากค่าธรรมเนียมและค่าใช้น้ำที่จัดเก็บได้ตามกฎหมายนี้ จัดตั้งเป็นกองทุน กองทุนหนึ่ง เรียกว่า “กองทุนทรัพยากรน้ำ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการลุ่มน้ำ คณะกรรมการลุ่มน้ำสาขา และองค์กรผู้ใช้น้ำในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รวมทั้งการศึกษา วิจัย และการวางแผนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว 
 
                       6.มาตรการอนุรักษ์และการพัฒนาทรัพยากรน้ำ ร่างกฎหมายได้กำหนดให้มีการอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำและแหล่งน้ำซับซึม พื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อสงวนรักษาพื้นที่ไว้เป็นแหล่งรองรับน้ำและแหล่งเก็บหรือกักน้ำ รวมทั้งเป็นแหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำ กำหนดเขตคุ้มครองสภาพแหล่งน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ เพื่อกำหนดมาตรการในการสงวน การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำตามความเหมาะสมแก่สภาพพื้นที่นั้น ร่างกฎหมายยังได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นได้ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งนี้ กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตท้องที่การปกครองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิเข้าชื่อเพื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น  
 
                       ในวันนี้สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กำลังพิจารณาร่างกฎหมายทรัพยากรน้ำ ซึ่งจำเป็นต้องละทิ้งมุมมองของการจัดการน้ำที่ต้องการควบคุมธรรมชาติ สั่งการ และมีแนวคิดว่าทรัพยากรน้ำเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สามารถพัฒนาเป็นเงินได้ การบริหารจัดการตามแนวทางดังกล่าวจะเร่งสร้างความขัดแย้ง เนื่องจากสร้างผลประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม และเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ ในขณะที่ทุกคนต้องพึ่งพาน้ำในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ที่รัฐต้องมีหน้าที่บริการสาธารณะให้ประชาชนเข้าถึงทรัพยากรน้ำอย่างเป็นธรรม  
 
                       การบริหารการจัดการทรัพยากรในลุ่มน้ำให้ยั่งยืน จึงต้องมีมิติของระบบนิเวศ มิติของชุมชน มิติของการบริหารจัดการ มิติของสิทธิมนุษยชน และมิติของการพัฒนาให้สมดุล
 
 
 
 
 
-----------------------
 
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ร่างกฎหมายทรัพยากรน้ำ ต้องกระจายอำนาจให้ชุมชนลุ่มน้ำ : โดย...ศยามล ไกยูรวงศ์)