ไลฟ์สไตล์

ระวัง!!!'เงินฝืด'

ระวัง!!!'เงินฝืด'

23 พ.ค. 2558

ระวัง !!! “เงินฝืด” : คอลัมน์ คลินิคคนรักบ้าน ดดย... ดร.ภัทรพล

 
  
          สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะอยู่ในสภาวะ “เงินฝืด” (Deflation) หรือ “เงินเฟ้อ” (Inflation)  มากจนเกิน “พอดี” นั้นก็ถือว่าไม่ดีทั้งคู่ครับ ในปัจจุบันมีสัญญาณที่ชี้วัดชัดเจนว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วง “ ตกสะเก็ด”  ซึ่งอาจจะนำไปสู่สถานการณ์ของการเกิด “ฟองสบู่” ของธุรกิจ “อสังหาฯ” ที่หากควบคุมกันไว้ไม่ดีก็มีสิทธิ์ “ฟองสบู่แตก” ได้ตลอดเวลาครับ  ทั้งปรากฏการณ์ “เงินฝืด” และ “เงินเฟ้อ” สำหรับผมที่เคยร่ำเรียนเศรษฐศาสตร์มาบ้างตอนทำปริญญาเอก  ก็ถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายครับ  
 
          ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ สังเกตดูง่ายๆ ครับว่า ราคาสินค้าในภาพรวมไม่มีสัญญาณการปรับขึ้นราคามากเท่าไรครับ (ไม่รวมสินค้าประเภทพลังงาน เช่น  น้ำมัน หรือ แก๊ส ที่มีอัตราการเคลื่อนไหวตัวขึ้นๆ ลงๆ อย่างผกผันกับราคาในตลาดโลก) ที่น่าแปลกคือสินค้าส่วนใหญ่ไม่ขึ้นราคา มิหนำซ้ำในบางรายการยังลดราคา  แต่กลับไม่มีแรงซื้อเข้ามาเท่าไหร่ ทำให้ผมฉุกใจ พอลองเช็คกลับไปก็เลยพบว่า อัตรา “เงินเฟ้อ” นั้นกำลังขยายตัวติดลบโดยประมาณ 1.04 %  ติดต่อกันมาหมายเดือน เป็นสัญญาณว่ารัฐบาลจะต้องหามาตรการในการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา เพราะเศรษฐกิจกำลังขยายตัวติดลบ 
 
          ทั้งนี้ พิจารณาจากสินค้า 300 รายการ มาคัดออก 100 รายการ (ที่มีความอ่อนไหวต่อราคาตลาด) ให้เหลือ 200  รายการ แล้วนำมาคิดคำนวณกับอัตรา “เงินเฟ้อ” พื้นฐาน ที่จากเดิมเมื่อหลายเดือนก่อนเคยอยู่ในแดนบวก 1.02 % โดยประมาณ กลายเป็นติดลบซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจของไทยเรากำลังเข้าสู่สถานการณ์ “เงินฝืด” (Deflation)  ส่งผลให้ธุรกิจและธุรกรรมของการค้าขายในภาพรวมมีอาการการซึมเศร้าหงอยเหงา  ให้เห็นชัดเจน  รวมทั้งกำลังซื้อในภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่หลายโครงการมีการลด , แลก, แจก, แถม กันอย่างมโหฬาร  จนแทบจะไม่มีกำไร  แต่ก็กลับไม่คึกคักเท่าที่ควร   
 
          จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคของผม ในสภาวะที่สินค้าประเภทพลังงาน  เช่น  น้ำมัน,  แก๊ส NGV,LPG  ได้ถูกตรึงราคาให้อยู่กับที่ แต่กลับเกิดสภาวะ “เงินเฟ้อ”  ติดลบติดต่อกัน 3-4  เดือน  นั่นแหละครับคือเครื่องชี้วัดที่ชัดเจนว่าสภาวะ “เงินฝืด” ได้คืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ หากสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใด  “แบงค์ชาติ” ก็คงต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีก (ประมาณ 0.25%)  หาก  “เงินเฟ้อ” ยังติดลบต่อเนื่องประจำ ผมฟันธงลงไปว่า หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้  ไม่น่าจะเกินเดือนกรกฎาคม จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยกันอีกครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดแล้ว ธุรกิจในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์จะคึกคักขึ้น  และยิ่งถ้าเป้าหมายการเติบโตของ  “จีดีพี” ของประเทศไทยในภาพรวมที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ 3-4% อัตรา “เงินเฟ้อ” จำเป็นต้องขยายตัวในแดนบวก ไม่ใช่ติดลบอย่างเช่นในปัจจุบัน
 
          ที่กล่าวกันมายืดยาวก็เพื่อเตือนสติ  ในฐานะ “สุนัขเฝ้าบ้าน” ว่าเป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของไทยกำลังตกอยู่ในสภาวะ “เงินฝืด” เป็นผลให้ถึงแม้สินค้าส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ตรึงราคา มิหนำซ้ำยังลดราคา พร้อมแคมเปญในการ ลด, แลก, แจก, แถม แต่กลับไม่มีใครสนใจที่จะซื้อสักเท่าไหร่  ก็จัดว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งครับ  
 
          ย้ำสำหรับผู้ที่คิดจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น ที่ดินเปล่า, บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์เฮ้าส์, ตึกแถว, อพาร์ทเม้นท์, คอนโดฯ, โรงแรม, รีสอร์ท ฯลฯ  ในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่ควรที่จะ “เล็งผลเลิศ” จะคิดอ่าน “ทำการน้อยใหญ่” เอาแต่ “พอเหมาะ พอดี พอเพียง”  และยังต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ “เงินฝืด” ไว้ให้จงดี   ทั้งยังต้องเตรียมเปิด “ทางหนีทีไล่” เอาไว้    ก็จะสามารถ “ประคองตัวให้อยู่รอดปลอดภัย” ได้ในสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศที่ไม่น่าไว้วางใจเช่นนี้ครับ