ไลฟ์สไตล์

มารู้จักโรค 'โอเอบี' กันเถอะ

มารู้จักโรค 'โอเอบี' กันเถอะ

19 พ.ค. 2558

ดูแลสุขภาพ : มารู้จักโรค 'โอเอบี' กันเถอะ

 
                       โรคโอเอบีเป็นชื่อโรคที่ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ OAB ซึ่งย่อมาจากคำว่า OverActiveBladder ปัจจุบันยังไม่มีชื่อภาษาไทยที่เป็นทางการสำหรับโรคนี้ เนื่องจากเป็นโรคที่บัญญัติขึ้นใหม่ได้ประมาณสิบกว่าปี แพทย์บางท่านอาจเรียกโรคนี้ว่า “กระเพาะปัสสาวะทำงานไวกว่าปกติ” หรือ “กระเพาะปัสสาวะทำงานไว้เกิน” หรือ “กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานไม่คงที่” เป็นต้น ซึ่งชื่อเหล่านี้ทั้งหมดสื่อความหมายถึงการบีบตัวที่เร็วผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะตามความหมายของ overactive bladder ในภาษาอังกฤษ 
 
                       ผู้ป่วยที่เป็นโรคโอเอบีมีอาการต้องไปปัสสาวะอย่างรีบด่วนทันทีที่รู้สึกปวดปัสสาวะโดยไม่สามารถผัดผ่อนได้ (Urgency) เป็นหลัก บางคนอาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จนมีปัสสาวะเล็ดราดออกมาก่อนไปถึงห้องน้ำ (Urge incontinence) หรืออาการปัสสาวะบ่อย (Frequency) คือปัสสาวะมากกว่า 8 ครั้งต่อวัน หรือตื่นกลางดึกเพื่อถ่ายปัสสาวะ (Nocturia) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ อาการอาจแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย และสิ่งสำคัญคือผู้ป่วยต้องไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะเป็นเลือด เป็นไข้ เป็นต้น
 
                       ปัจจุบันวงการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคโอเอบี เชื่อว่าโรคโอเอบีอาจเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ หรือระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติทำให้ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะให้ทำงานตามปกติ กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะจึงเกิดการบีบตัวที่ไวผิดปกติ ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ของโรคโอเอบีไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่เนื่องจากมีหลายโรคที่ร้ายแรงถึงชีวิต เช่น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นิ่ว หรือการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ก็มีอาการและอาการแสดงคล้ายๆ กับโรคโอเอบี ดังนั้นถ้าสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคโอเอบี หรืออาการคล้ายๆ กับโรคนี้ควรรีบไปปรึกษาแพทย์
 
                       แม้ว่าโรคโอเอบีเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตไม่น้อยไปกว่าโรคร้ายแรงหลายโรค อาการปัสสาวะบ่อยและกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ส่งผลให้ประสิทธิภาพของการทำงานลดลงเนื่องจากต้องลุกไปปัสสาวะบ่อย การใช้ชีวิตประจำวันยากลำบากขึ้นโดยเฉพาะช่วงเวลาจราจรติดขัดหรือช่วงเดินทางไกลต้องแวะหาห้องน้ำตลอดการเดินทางทำให้หลายคนไม่อยากออกจากบ้าน เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน จนเกิดเป็นโรคซึมเศร้าตามมาภายหลัง อาการปัสสาวะเล็ดราดทำให้เกิดความอับอาย ขาดความมั่นใจในการเข้าสังคมและอาจเกิดปัญหาในครอบครัวขึ้นได้ ส่วนอาการลุกขึ้นปัสสาวะกลางดึกบ่อยๆ นั้น ทำให้ผู้ป่วยพักผ่อนได้ไม่เต็มที่ ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สร้างความรำคาญและทุกข์ทรมานต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
 
                       การวินิจฉัยโรคโอเอบีไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนแต่อย่างไร เมื่อผู้ป่วยที่มีอาการชวนสงสัยว่าเป็นโรคโอเอบีมาพบแพทย์ แพทย์จะซักประวัติอย่างละเอียดเกี่ยวกับอาการต่างๆ ระยะเวลาที่มีอาการ โรคประจำตัว และอาการร่วมอื่น ฯลฯ ร่วมกับการตรวจร่างกายทุกระบบอย่างครบถ้วน ทั้งการตรวจร่างกายทั่วไป การตรวจภายใน การตรวจทางทวารหนัก และการตรวจระบบประสาที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายปัสสาวะ รวมทั้งการส่งตรวจห้องปฏิบัติการเบื้องต้นที่จำเป็น เช่น การจดบันทึกการปัสสาวะ การตรวจปัสสาวะหรือระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแยกโรคอื่นๆ ที่มีอาการและอาการแสดงคล้ายกับโรคโอเอบีก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าอาการของผู้ป่วยเกิดจากโรคโอเอบีจริงๆ จะเห็นได้ว่าการตรวจวินิจฉัยโรคโอเอบีไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างไร ดังนั้นเมื่อสงสัยว่าอาจเป็นโรคโอเอบีควรรีบไปพบแพทย์
 
 
 
ปัจจุบันมีหลายวิธีในการรักษาโรคโอเอบีขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ดังนี้
 
 
                       1.การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ เช่น ลดการดื่มน้ำในกรณีที่ดื่มน้ำมากเกินไป งดการดื่มน้ำก่อนนอนและก่อนออกเดินทาง หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่กระตุ้นการขับปัสสาวะ เช่น แอลกอฮอล์ ชาและกาแฟ ไม่อั้นปัสสาวะเวลานาน เป็นต้น
 
                       2.การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อทำให้กล้ามเนื้อหูรูดของท่อปัสสาวะแข็งแรงขึ้น สามารถใช้รักษาโรคโอเอบีได้ แต่ต้องผ่านการฝึกอย่างถูกวิธีเท่านั้น ดังนั้นจึงควรซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อแนะนำการฝึกที่ถูกต้อง
 
                       3.การรักษาด้วยยา ยากลุ่ม Antimuscarinics เป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคโอเอบี โดยการลดการบีบตัวที่ไวเกินของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ ทำให้อาการของโรคดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปากแห้ง ตาแห้ง ท้องผูก บางรายอาจมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ หรือง่วงซึมได้ ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
 
                       4.การรักษาด้วยการกระตุ้นไฟฟ้า การฉีดสาร Botulinum toxin เข้าไปในกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ และการผ่าตัดต่างๆ นั้น สงวนไว้เฉพาะในกรณีที่รักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้วไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น
 
 
                       สุดท้ายนี้ขอเน้นอีกครั้งว่า โรคโอเอบีไม่ใช่โรคที่น่าอับอาย และไม่ได้เป็นแค่ตัวเราคนเดียว ยังมีอีกหลายล้านคนที่มีอาการเหมือนกับตัวเรา และโรคนี้สามารถรักษาหายได้ด้วยวิธีการต่างๆ ดังนั้นแค่กล้าออกไปขอคำจากปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และรับการรักษาทีถูกต้องก็จะพบว่าได้คุณภาพชีวิตที่ดีกลับคืนมาอีกครั้ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรสายด่วน 1645 กด 2โรงพยาบาลธนบุรี 2 บริการด้วยน้ำใจ เอาใจใส่ดุจญาติมิตร พุทธมณฑลสาย 2 ถนนบรมราชชนนี Facebook.com/Thonburi2Hospital
 
 
 
 
 
นพ.วสันต์ เศรษฐวงศ์