ไลฟ์สไตล์

'ศาลาชงชา'และ'สวนญี่ปุ่น'(I)

'ศาลาชงชา'และ'สวนญี่ปุ่น'(I)

11 เม.ย. 2558

'ศาลาชงชา'และ'สวนญี่ปุ่น'(I) : คอลัมน์ บ้านไม่บาน โดย... อาจารย์เชี่ยว

 
          สาระน่ารู้ในสัปดาห์นี้ ผมจะพาแฟนๆ ไปเที่ยวไกลถึง “ญี่ปุ่น” เพื่อไปรู้จักกับ “ศาลาชงชา” แบบ “ญี่ปุ่น” และ “สวนญี่ปุ่น” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบเมืองเก่า  เช่น “เกียวโต” ซึ่งผมหลงรัก “ศาลาชงชา” ของ “ญี่ปุ่น” ส่วนใหญ่มักจะก่อสร้างอยู่ใน “สวนญี่ปุ่น” ที่มีอายุเก่าแก่มักจะมีหินก้อนใหญ่ถูกตระใคร่น้ำปกคลุมไปหมดทั้งยังมีสวนกรวด, ตะเกียงหิน ฯลฯ  ประดับประดาตกแต่ง ก่อให้เกิดเป็นความรื่นรมย์ที่เกิดจากสรรพสิ่ง ที่อาศัยกาลเวลา ก่อให้เกิดความงามและคุณค่าของความไม่สมบูรณ์พร้อม อาคารประเภทนี้เรียกว่า “ชาชิสุ” (“Chashitsu”) หรือ “ห้องจิบชา” หรือ “ชาเซกิ” (Chaseki) หรือ “สถานที่ทำพิธีชงชา” ภายในจะมีการจัดดอกไม้แบบพิเศษเรียกว่า “ซาบานา” (Chabana) เป็นการจัดแบบเรียบง่ายประดับสำหรับพิธีชงชา โดยขนาด “ศาลาชงชา”  จะวัดขนาดจากเสื่อที่ปู เรียกว่าเสื่อ “ทาทามิ” (Tatami)  ที่มักมีขนาด 4.5 ผืนครับ  
 
          “ศาลาชงชา” ของ ญี่ปุ่น โดยทั่วไปมักมีขนาดเล็กและเรียบง่าย และเป็นโครงสร้างไม้ ตั้งอยู่ใน “สวนญี่ปุ่น” และคงไม่ผิดนักที่จะบอกว่า “ศาลาชงชา” มักจะอยู่ร่วมกับ “สวนญี่ปุ่น” ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก “สวนจีน” มีเรื่องเล่าว่าในช่วง ค.ศ.6  มีพระญี่ปุ่น 2 รูป ได้เดินทางไปจาริกแสวงบุญในจีนและกลับมาตั้งลัทธิ  “Shingon” และ “Tendi” ซึ่งเป็นศาสนาพุทธแบบ “มหายาน” ลัทธิทั้งสองนี้มุ่งเน้นการปฏิบัติ ให้ผู้ปฏิบัติธรรมแสวงหาความวิเวกจากความเงียบสงบของธรรมชาติ เพื่อทำสมาธิก่อให้เกิดสติและปัญญา ทำให้การจัดสวนในรูปแบบญี่ปุ่นจึงเริ่มมีขึ้นตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งวัดในญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นวัดในลัทธิ “ชินโต” แนวคิด “สวนญี่ปุ่น” ก็ได้แพร่ขยายเข้าไปในวังและบ้านคหบดี 
 
          ในช่วง ค.ศ. 8-12 “สวนญี่ปุ่น” ก็ขยายตัวออกไป นิยมสร้างสระน้ำ ลานกรวด ศาลา การติดตั้งโคมไฟหิน การทำรั้วรอบขอบชิด และการมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดใน ค.ศ. 12-14  เมื่อการมาถึงของลัทธิ “เซน” ใน “ญี่ปุ่น” ทำให้เกิด “สวนญี่ปุ่น” อีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า “สวนแบบเรียบๆ” หรือ “Dry Garden” (Kare Sansui) มีลักษณะเป็นสวนแบบ “น้อยแต่มาก” หรือ “Minimalism” เป็นปรัชญาในการออกแบบให้เอื้อต่อ การทำ “สมาธิ” ที่ก่อให้เกิด “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่ง “สวนญี่ปุ่น” แบบ “เซน” นี้ จึงเป็นสวนที่มีองค์ประกอบในการตกแต่งน้อยมาก มุ่งแสดงให้เห็นแก่นแท้อันเป็น “สัจจะ”ของธรรมชาติ ทำให้รูปแบบ “สวนญี่ปุ่น” แบบ “เซน”  มักมีลักษณะเป็นลานกรวด เผยให้เห็นผิวสัมผัสอันเป็นธรรมชาติของหิน อาจปกคลุมด้วย “ตระใคร่” หรือ “มอส” โดยพยายามตัดสิ่งฟุ่มเฟือยออกไปให้มากที่สุด มีต้นไม้น้อยที่สุดเพื่อเผยให้เห็นถึงแก่น 
 
          แนวคิดดังกล่าวต่างจาก “สวนจีน” ที่มีลักษณะเป็น “ตัวแทน” (Representation) ที่อยู่ในธรรมชาติ  อาทิ ภูเขา, น้ำตก ฯลฯ แต่ “สวนญี่ปุ่น” แบบ “เซน” ได้พัฒนาความคิดขึ้นมาอีก “มิติ” หนึ่ง เป็นสวนที่มีลักษณะ “นามธรรม” แบบ “ชี้แนะ” (Suggestion) ให้ผู้เข้าสัมผัสต้องใช้จินตนาการและความคิดก่อให้เกิดการรับรู้ว่านี่คือ ภูเขา นี่คือมหาสมุทร ฯลฯ  ซึ่งเป็นคติแบบ “เซน” ในการจัด  “สวนญี่ปุ่น” อันเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการจัดสวน เป็นการเสนอความคิดเชิง “นามธรรม” ที่แสดงออกถึงความเคารพในธรรมชาติ ในผืนดิน ในก้อนหิน ในสวนกรวด ในพืชพรรณน้อยใหญ่ ก็ล้วนแต่ทรงคุณค่า  แม้แต่บริเวณเล็กๆ ก็สามารถสร้างจินตนาการให้ผู้เข้ามาสัมผัสรับรู้ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้   
 
          สวนแบบ “เซน” ที่มีชื่อเสียงที่ผมชื่นชอบมาก อยู่ที่เมือง “เกียวโต” ที่วัด “เรียว อัน จิ” สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1430 โดย “โชกุนคัตสุโมโตะ  โฮโซคาว่า” เป็นสวนรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 248 ตารางเมตร ถูกออกแบบให้ปิดล้อมด้วยกำแพง 2 ด้าน และอีก 2 ด้านเป็นตัวอาคารรูปตัว  L เพื่อชมสวน เป็นสัญลักษณ์ของดินแดนใน “อุดมคติ” จากคติความเชื่อเก่าแก่ที่เล่าถึง “เกาะแห่งความเป็นอมตะ” พื้นกรวดถูกคราดเป็นเส้น,เป็นสัญลักษณ์แทนมหาสมุทร  ก้อนหิน 15 ก้อน เป็นสัญลักษณ์แทนเกาะ ถูกจัดวางเป็น 5 กลุ่ม  “มอส”  และ “ตระใคร่น้ำ”  เป็นสัญลักษณ์ของป่าและพืชพรรณไม้อันอุดม  แต่มีความเชื่อกันว่าผู้ที่สามารถมองเห็นก้อนหินทั้งหมด 15 ก้อนได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่บรรลุใน  หลักธรรมฌานขึ้นสูงสุดเท่านั้นจึงจะสังเกตเห็นได้ (ถ้านั่งนับดูจะเห็นว่ามีหินอยู่เพียง  14  ก้อนครับ)
 
          “สวนญี่ปุ่น” และ  “ศาลาชงชา” เป็นของคู่กันและเป็นเอกลักษณ์ของศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่นครับ ซึ่งนิยมแยก “ศาลาชงชา” ออกจากตัวบ้านมาตั้งไว้กลางสวน  ถึงแม้จะไม่เกี่ยวข้องนักกับคติความเชื่อแบบ “มหายาน”  แต่มีแนวคิดลึกซึ้งแบบ “เซน” ในการจัดระเบียบที่ดูผิวเผินจะผ่อนคลายแต่แท้จริงแล้วเคร่งครัดในการเข้าถึงสวนและเข้าถึง “ศาลาชงชา”  โดยถูกจัดลำดับขั้นตอนอย่างมีระเบียบ เพื่อชะล้างความฟุ้งซ่านออกมาจากจิตใจทั้งยังเป็นการทำสมาธิ  
 
          ทุกย่างก้าวใน “สวนญี่ปุ่น” ที่จะนำไปสู่ “ศาลาชงชา” จะต้องเต็มไปด้วย “สติ”  เพื่อไม่ให้เหยียบย่ำบนพื้น “มอส” อันบอบบาง  จะต้องเดินบนก้อนหินที่วางไว้อย่างพอเหมาะเท่านั้น   จะต้องหยุดพิจารณาตะเกียงหินหรือพิจารณาจังหวะแรงกระดกของกระบอกไม้ไผ่และเสียงน้ำไหล  ค่อยเรียนรู้และรับรู้เป็นระยะ  เมื่อเดินไปถึง “ศาลาชงชา” ผู้ที่เดินผ่านสวนก็จะเปี่ยมไปด้วย “สติ” และ  “สมาธิ”  พร้อมสำหรับ “พิธีชงชา” อันเป็นพิธีกรรมที่ละเอียดอ่อนมีลักษณะที่น่าสนใจ ซึ่งสาระน่ารู้ ยังมีอีกมากเอาไว้ต่อกันใหม่ในสองสัปดาห์หน้าครับ
 
.......................................
(หมายเหตุ 'ศาลาชงชา'และ'สวนญี่ปุ่น'(I) : คอลัมน์ บ้านไม่บาน โดย... อาจารย์เชี่ยว )