ไลฟ์สไตล์

ร้องเล่นเต้นรำฉบับเวียนนา

ร้องเล่นเต้นรำฉบับเวียนนา

02 เม.ย. 2558

ศิลปวัฒนธรรม : ร้องเล่น เต้นรำฉบับเวียนนา

 

          จังหวะดนตรีอันไพเราะ ชวนสะกดผู้คนให้อยู่กับภวังค์แห่งเสียงเพลง ล้อไปกับคู่หนุ่มสาวที่วาดวดลายการเต้นอันสวยงาม การเต้นรำฉบับ เวียนนา บอล เราได้มีรับโอกาสรับฟังความเป็นมาของการเต้นรำที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศออสเตรียและในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงเต้นรำขึ้น เพื่อให้ผูคนได้สัมผัสกับความสุนทรียภาพแห่งงานเต้นรำนับเป็นศิลปวัฒนธรรมสุดสวยงามของชาวออสเตรีย สืบสาวราวเรื่องการเต้นรำฉบับเวียนนาบอลคงต้องย้อนกันไปถึงสุคสมัยของบิแอร์ไมเออร์ ในครั้งเมื่อชนชั้นกลางเริ่มเข้ามามีอิทธิพลโค่นล้มการปกครองของกลุ่มคนชั้นสูงให้กลายเป็นแค่อดีตเรื่องเล่าขาน จึงทำให้การเต้นรำแบบคองเกรส เข้ามามีความนิยมแพร่หลาย เป็นการสืบทอดธรรมเนียมการจัดงานเทศกาลงานเลี้ยงเต้นรำสุดรื่นเริง ให้คงอยู่ไปตามแบบของกลุ่มชนชั้นกลาง จึงทำให้เพลงวอลทซ์และโยฮันน์ ซเตราสส์ คือความนิยมเปรียบเสมือนดาวจรัสแสงดวงแรกๆ ของยุคใหม่ ก่อให้เกิดความคลั่งไคล้อย่างมากต่อกระแสวัฒนธรรม

          ครั้งหนึ่งที่ ไฮน์ริค เลาบ์ ผู้กำกับเวทีได้เคยพรรณนาถึงฉากเวทีด้วยอารมณ์หลงใหลว่า พำนักกลางสวนงาม เสียงดุริยางค์ยั่วเย้าดั่งนางไม้พรายภูติ ราวกับต้องรอยกัดของแมงมุม บทเพลงวอลทซ์ใหม่กระตุ้นให้เลือดของผู้คนพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ที่เบื้องหน้าดุริยางค์ คือ โยฮันน์ ซเตราสส์ วาทยากรเอง ผู้เปรียบเหมือนวีรบุรุษผู้วิเศษแห่งออสเตรีย ด้วยการมอบเพลงวอลทซ์ อันสุดซาบซึ้งแก่กรุงเวียนนา เฉกเช่นชัยชนะที่นโปเลียนมอบให้แก่ฝรั่งเศส จนกระทั้งในปี ค.ส. 1848 ได้มีการปฏิวัติการปกครองเกิดขึ้น งานเต้นรำดังกล่าวจึงถูกระงับลงและไม่มีการเต้นรำเกิดขึ้นให้เห็นเป็นเวลาหลายปี หลายปีต่อมาได้เกิดกระแสสุขนิยมเรียกร้องให้มีการจัดงานเลี้ยงเต้นรำขึ้นมาอีกครั้งในกรุงเวียนนาและได้รับเกียรติให้จัดงานเต้นรำขึ้นมา

          ในที่สุด เมื่อปี ค.ศ. 1877 พระจักรพรรดิฟรานซิสที่ 1 จึงทรงยินยอมให้จัดงานราตรีสมาคมได้ในโรงละครอุปรากร และแม้ว่างานในค่ำคืนของวันที่ 11 ธันวาคมปีนั้น จะไม่มีการอนุญาตการเต้นรำอย่างเป็นทางการ หากการเต้นรำก็ได้เกิดขึ้นอย่างจริงจังเมื่อเวลาเที่ยงคืนของราตรีนั้นนั่นเอง หลังการล่มสลายของราชวงศ์ฮับส์บูร์กในปี ค.ศ. 1918 สาธารณรัฐแห่งใหม่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นที่จดจำในฐานะการจัดเทศกาลรื่นเริงของวังหลวงในโรงละครอุปรากร โอเปร่าเฮาส์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1935 งานเลี้ยงเต้นรำแห่งกรุงเวียนนาจึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งคำคำ นี้มีพลังประหนึ่งเวทมนตร์ที่ปลุกชีวิตชีวาให้แก่ผู้คนที่กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความซึมเศร้าที่ยืดเยื้อมานาน หลังจากที่สาธารณรัฐออสเตรียฟื้นคืนประเทศขึ้นอีกครั้งซึ่งในช่วงปีแรกนั้น กรุงเวียนนายังบอบช้ำจากระเบิดและเต็มไปด้วยความแร้นแค้น ทำให้งานเลี้ยงเต้นรำครั้งแรกที่แท้จริงของสาธารณรัฐที่สอง ได้เปิดตัวขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1956
 
          ฯพณฯ เอนโน่ โดรเฟนิก เอกอัคราชทูตสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า นับเป็นเวลากว่า 200 ปีมาแล้วที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได้ถูกขนานนามว่าเป็นนครหลวงแห่งงานเต้นรำอันสวยงามสุดอลังการมากสุดของโลก ซึ่งในแต่ละปีจะมีการจัดงานเต้นรำมากถึง 450 งาน จัดขึ้นตามเวลาและโอกาส มีชื่อเรียกงานต่างกัน เช่น บอลล์ดอกไม้ บอลล์โอเปร่า บอลล์แพทย์ บอลล์ทนายความและบอลล์อื่นๆ อีกมากมาย  ซึ่งแต่ละงานล้วนแต่แสดงความเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น ที่เกิดจากการผสมผสานเอาขนบธรรมเนียมโบราณของชาวออสเตรียเป็นพิธีการสุดสง่างามและบทเพลงวอลทซ์สไตล์เวียนนาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งการเริ่มต้นของการเต้นรำจะเกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่ าต้อนรับปีใหม่ แล้วไปสิ้นสุดลงที่เดือนกุมภาพันธ์ เพราะว่าที่กรุงเวียนนาสภาพอากาศค่อนข้างหนาวเย็น จึงต้องมีกาารจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย ทำอารมณ์ให้สนุกสนานครึกครื้นอยู่ตลอดเวลา
 
          “ในประเทศออสเตรีย การเต้นรำเวียนนาบอลล์ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ล้าสมัยหรือจะต้องเป็นคนรุ่นเก่าที่มีอายุออกมาร่วมเต้นกัน แต่เป็นกิจกรรมที่นิยมของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ให้ความนิยมชมชอบกันอย่างมาก เพราะในส่วนของงานเลี้ยงจะต้องมีการจัดเตรียมเครื่องแต่งกายกับแบบเต็มยศเพื่อประชันกัน พร้อมกับดื่ม สังสรรค์ ทั้งยังได้พบกับมิตรภาพจากผู้มาร่วมงาน และไม่อยากให้คิดว่างานที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้เป็นแค่งานสำหรับผู้เต้นเป็นเท่านั้น อยากให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม เข้ามาสนุกสังสรรค์ เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ จะมีการนำครูมาเพื่อจัดสอนเต้นให้กับผู้สนใจโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ อีกทั้งรายได้ทั้งหมดจากการจำหน่ายบัตรทุกใบยังมอบให้กับโครงการกำลังใจภายใต้มูลนิธิเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก ในพระราชดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์และเด็กที่ถูกล่วงละเมิดในพัทยาอีกด้วย” ท่านทูตเล่าถึงวัตถุประสงค์ปิดท้าย