ไลฟ์สไตล์

ดูแลสุขภาพ : โรคลมชักในเด็ก

ดูแลสุขภาพ : โรคลมชักในเด็ก

19 มี.ค. 2558

ดูแลสุขภาพ : โรคลมชักในเด็ก

 
                         อาการชัก (seizure) คือ ภาวะที่ผู้ป่วยมีอาการแสดงออกทางร่างกายหรือความรู้สึกตัวที่ผิดไปจากปกติอันเนื่องจากการนำกระแสประสาทในสมองที่มากกว่าปกติ  
 
                         โรคลมชัก (epilepsy) คือ อาการชักที่เกิดขึ้นซ้ำตั้งแต่สองครั้งขึ้นไปโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น เช่น ความผิดปกติของเกลือแร่ ภาวะติดเชื้อในระบบประสาทส่วนกลางหรือไข้สูง
 
                         โรคลมชักเป็นปัญหาทางระบบประสาทที่พบบ่อย ช่วงอายุที่พบว่ามีอุบัติการณ์การเกิดโรคลมชักมากคือเด็กในช่วงอายุ 5 ปีแรก หลังจากนั้นความเสี่ยงการเกิดโรคลมชักจะลดลงและสูงขึ้นได้อีกในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุ อาการชักที่เกิดขึ้นในครั้งแรก มีโอกาสเกิดซ้ำได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ตรวจพบมีความผิดปกติของคลื่นสมอง, มีประวัติพัฒนาการล่าช้า, มีประวัติครอบครัวเป็นโรคลมชัก, มีประวัติชักครั้งแรกอายุน้อยหรือเคยมีประวัติไข้สูงแล้วชักตอนเด็กๆ
 
 
 
ประเภทของอาการชัก
 
 
                         อาการชักเฉพาะส่วน คือ การเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าสมองโดยเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่งในสมอง แล้วทำให้เกิดอาการแสดงต่างๆ โดยที่ขณะนั้นผู้ป่วยอาจสูญเสียความรู้สึกตัวหรือไม่ก็ได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยกระตุกแขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาการชักที่หันศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง 
 
                         อาการชักทั้งตัว คือ การที่มีการเปลี่ยนแปลงคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นบริเวณกว้างมีผลทำให้สมองทั้งสองข้างเกิดความผิดปกติจึงมักทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความรู้สึกตัว เช่น การชักเกร็ง กระตุกเป็นจังหวะทั้งตัว อาการเหม่อตาลอยหรืออาจล้มลงเพราะเสียความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
 
 
 
การวินิจฉัยโรคลมชัก
 
 
                         การวินิจฉัยโรคลมชัก จะต้องอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกาย เช่น ประวัติการคลอด พัฒนาการของเด็ก อุบัติเหตุต่อสมอง ประวัติการได้รับสารพิษ ประวัติการชักในหมู่ญาติ  การตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียด การตรวจพัฒนาการ การวัดขนาดศีรษะและการตรวจหาความผิดปกติของผิวหนัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการคือ
 
                         1. การตรวจเลือด เพื่อดูระดับน้ำตาล และเกลือแร่ในร่างกาย
 
                         2. การตรวจน้ำไขสันหลัง จะทำในกรณีที่สงสัยภาวะการติดเชื้อในระบบประสาทหรือสงสัยอาการชักจากโรคทางพันธุกรรมบางอย่าง
 
                         3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)  เป็นการตรวจที่มีประโยชน์มากช่วยในการยืนยันการวินิจฉัย, จำแนกชนิดของโรคลมชักและช่วยเป็นแนวทางในการรักษาตลอดจนการทำนายโรค อย่างไรก็ตามการที่คลื่นไฟฟ้าสมองปกติ ไม่ได้แสดงว่าผู้ป่วยคนนั้นไม่ได้เป็นโรคลมชัก เพียงแต่ไม่พบความผิดปกติขณะตรวจ โดยทั่วไปจะแนะนำให้ผู้ป่วยอดนอน นอนดึกๆ ในคืนก่อนที่จะทำการตรวจ เพราะจะช่วยทำให้โอกาสตรวจพบความผิดปกติสูงขึ้น
 
                         4. การตรวจทางรังสีวิทยา เช่น CT scan และ MRI จะทำในกรณีที่มีอาการชักเฉพาะที่ ตรวจพบมีความผิดปกติของระบบประสาท หรือในกรณีที่ควบคุมอาการชักไม่ได้
 
 
 
การรักษาโรคลมชัก
 
 
                         1. การรักษาขณะชัก
 
                         - จัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม
 
                         - ให้การดูแลการหายใจ และการไหลเวียนเลือด
 
                         - ให้ยาหยุดชัก
 
                         - เจาะเลือดหรือตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาสาเหตุของอาการชัก
 
                         - ให้สารน้ำเพื่อสะดวกในการให้ยา
 
                         2. การป้องกันอาการชักซ้ำ
 
                         การเลือกยากันชักให้เหมาะสมกับรูปแบบของการชักและชี้แจงบิดามารดาถึงประโยชน์และอาการไม่พึงประสงค์ของยากันชักเพื่อตัดสินใจร่วมกันในการรักษาและเมื่อควบคุมอาการชักได้แล้ว ควรให้ยาต่อเนื่องประมาณ 2-4 ปี โดยขณะที่ผู้ป่วยได้ยากันชัก ต้องมาติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด และเจาะเลือดดูระดับยาในเลือดรวมถึงดูผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการรับประทานยาด้วย เมื่อรับประทานยาไปจนครบกำหนด โดยไม่มีอาการชักในระหว่างได้รับยา จึงพิจารณาหยุดยากันชักและพบว่าร้อยละ 70 สามารถหยุดยาได้โดยไม่มีอาการชักซ้ำอีก
 
 
 
 
 
นพ.อิสระ สังฆวะดี  
 
กุมารแพทย์เฉพาะทาง
 
ด้านระบบประสาทและสมองในเด็ก