ไลฟ์สไตล์

โรคหนังแข็งและโรคไข้กาฬหลังแอ่น

โรคหนังแข็งและโรคไข้กาฬหลังแอ่น

18 มี.ค. 2558

ดูแลสุขภาพ : โรคหนังแข็งและโรคไข้กาฬหลังแอ่น

 
                        สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ มีความเป็นห่วงคนไทยป้องกัน  2 โรคร้าย ทั้งโรคหนังแข็งและโรคไข้กาฬหลังแอ่น เผยวิธีดูแลป้องกันให้ถูกวิธี  โอกาสที่จะเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้จะน้อยลง 
 
                        ภายหลังจากที่มีผู้ป่วยป่วยด้วยโรคหนังแข็ง ซึ่งเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งเป็นกลุ่มโรคเรื้อรังที่มีความผิดปกติของภูมิคุ้มกันของร่างกาย สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด โดยจะมีการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อที่ผิดปกติไป เกิดการรบกวนการทำงานของอวัยวะนั้นๆ โดยจะมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละบุคคล เนื้อเยื่อที่ผิดปกติจะแข็งตึงมีลักษณะคล้ายพังผืด ลักษณะอาการแสดงที่ปรากฏหากเป็นเฉพาะที่ผิวหนังผู้ป่วยจะมีผิวหนังที่แข็ง ขาดความยืดหยุ่นโดยอาการอาจเป็นเพียงบางส่วน หรืออาจเป็นทั่วทั้งร่างกาย ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดตึงที่มือและบริเวณปลายนิ้วมือ มีอาการปลายนิ้วมือเปลี่ยนสีเวลาอยู่ในที่อากาศเย็น ผิวหนังบริเวณปลายนิ้วที่แข็งตึงจะง่ายต่อการแตกเป็นแผล นอกจากนี้อาการในระบบอื่นๆ ที่สามารถพบร่วมได้ ได้แก่ หอบเหนื่อยหายใจลำบาก กลืนลำบากหรือกลืนติด ภาวะความดันโลหิตสูง และความผิดปกติของหลอดเลือดในไตได้ 
 
                        การวินิจฉัย อาศัยอาการทางคลินิกเป็นหลัก โดยอาจมีการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตัดภาวะอื่นๆ ออกไป ดูว่ามีระบบอื่นๆ ภายในร่างกายผิดปกติร่วมด้วยหรือไม่ และบ่งพยากรณ์ของโรค ส่วนการรักษา จะเน้นการลดและบรรเทาอาการต่างๆ การปฏิบัติตัวที่เหมาะสม โดยผู้ป่วยจะต้องหลีกเลี่ยง ดังต่อไปนี้  1.หลีกเลี่ยงอากาศเย็น เพราะอาจกระตุ้นให้ปวดตึงบริเวณปลายนิ้วมือนิ้วเท้ามากขึ้น ถ้าจำเป็นควรสวมถุงมือ ถุงเท้า และควรหมั่นทาครีมบำรุงผิว 2.งดสูบบุหรี่เพราะบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดเสื่อมและขาดความยืดหยุ่น 3.รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ 4.มาตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ 5.อาการสำคัญที่ควรมาพบแพทย์ ได้แก่ กลืนติด กลืนลำบาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก มีแผลแตกที่ปลายนิ้วมือ-นิ้วเท้า ปวดตามข้อ หรือปัสสาวะผิดปกติ และ 6.หมั่นออกกำลังกายและทำกายภาพบำบัด เพื่อป้องกันข้อยึดติดและผิดรูป
 
                        “การติดเชื้อจะเกิดเฉพาะจากคนสู่คน ไม่มีสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคหรือเป็นแหล่งรังโรค การติดต่อเกิดโดยการหายใจเอาเชื้อแบคทีเรียที่กระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย หรือของผู้ที่เป็นพาหะ หรือการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งเหล่านี้แล้วนำมาสัมผัสกับเยื่อบุจมูก ตา หรือปากของเรา ผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วย หรืออาศัยอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่นที่เกิดภาวะติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด จะมีโอกาสติดเชื้อจากผู้ป่วยมากกว่า 400 เท่าเมื่อเทียบกับคนทั่วไปๆ ที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย โรคนี้พบได้ในทุกกลุ่มอายุ แต่มักพบในเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่”
 
                        อาการของโรค สามารถพบอาการหลักๆ ได้ 3 แบบ คือ 1.เยื่อหุ้มสมองอักเสบโดยไม่เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 2.เยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมกับภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 3.ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเพียงอย่างเดียว ผู้ป่วยจะมีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย โดยอาการจะเป็นอยู่ 1-2 วัน แล้วตามด้วยการเกิดผื่นที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นลักษณะที่ค่อนข้างจำเพาะของโรคนี้ คือเริ่มต้นจะเป็นผื่นแบบแบนราบสีแดงจางๆ ต่อมาจะเกิดจุดเลือดออกเล็กๆ สีแดงเข้ม ขนาด 1-2 มิลลิเมตร ในบริเวณผื่นเหล่านี้ โดยมักพบตามลำตัว ขา และบริเวณที่มีแรงกดบ่อยๆ เช่น ขอบกางเกง ขอบถุงเท้า บริเวณอื่นๆ ที่จะพบได้คือ ใบหน้า มือ แขน เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก จุดเลือดออกเหล่านี้บางครั้งอาจกลายเป็นตุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่มีเลือดออก ซึ่งอาจเกิดการเน่าและกลายเป็นเนื้อตายได้ หากผู้ป่วยเกิดเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมด้วย ก็จะมีอาการปวดต้นคอ คอแข็ง หลังแข็ง และซึมร่วมด้วย  การวินิจฉัย สามารถทำได้โดย การเจาะเลือด เจาะดูดนำไขสันหลัง หรือตัดชื้นเนื้อบริเวณผื่น ไปตรวจหาเชื้อโดยการส่งย้อมสี หรือ เพาะเชื้อ ส่วนการรักษา ใช้ยาปฏิชีวนะควบคุมโรคได้หลายชนิดและมีประสิทธิภาพดี ยาที่ใช้ในการรักษาได้แก่ ยาในกลุ่ม เพนนิซิลิน (penicillin) เช่น เซฟาโลสปอริน (Cephalosporin) รุ่นที่ 3 เป็นต้น 
 
                        สำหรับผู้ป่วยที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อในกระแสเลือด มีอัตราตายประมาณ 5% โดยหากมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วยจะมีอัตราตายสูงขึ้นเป็น 10-40% แต่หากผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดชนิดรุนแรงมีจะมีอัตราตายสูงถึง 70-80% 
 
                        คำแนะนำในการดูแลตนเองเบื้องต้นและการป้องกันโรค หากสงสัยว่าอาจเป็นโรคนี้ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว หากมีบุคคลได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน รวมทั้งผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ควรรับประทานยาปฏิชีวนะสำหรับป้องกันการติดเชื้อ  และหากมีการระบาดของโรคเกิดขึ้น ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นควรได้รับวัคซีนหรือยาปฏิชีวนะสำหรับป้องกันตามคำแนะนำของแพทย์ สำหรับบุคคลทั่วไป การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หากจำเป็นต้องเข้าไป ควรสวมหน้ากากอนามัย  และหมั่นล้างมือบ่อยๆ 
 
 
 
 
รศ.นพ.นภดล  นพคุณ 
 
นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย