เสียงครูและนักเรียนพม่าตะโกนแข่งกันดังลอดออกมาจากห้องเรียนชั่วคราว ถ้าไม่ตั้งใจฟังจะไม่รู้เลยว่านั้นคือเสียงครูสอนหนังสือ เสียงนักเรียนตอบคำถามในห้องเรียน เพราะภาพภายนอกตึกชั้นเดียวพื้นปูหยาบๆ ที่เรียกว่าห้องเรียน และห้องทำงานของครูใหญ่ ในพื้นที่เดียวกัน มีเพียงฝาไม้บางๆ หรือไม้สูงแค่เข่ากั้น ที่ครูและนักเรียนสามารถมองเห็นหน้ากันแทบทุกคน ด้วยความที่ห้องเรียนติดกัน ครูต้องสอนเสียงดัง และนักเรียนต้องตอบคำถามเสียงดังยิ่งกว่า เพราะหากไม่ตะโกนจะยิ่งทำให้ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เลย เนื่องจากห้องข้างๆ จะเสียงดังกว่า แต่หาใช่อุปสรรคสำหรับการเรียนการสอนของพวกเขา นักเรียนและครูศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าว "อาโยนอู (Ah Youe Oo)" อย่างใดไม่
ปัจจุบันลูกแรงงานข้ามชาติทั้ง พม่า ลาว กัมพูชา ที่ติดตามพ่อแม่เข้ามาทำงานในประเทศไทย และเกิดในประเทศไทย มีประมาณ 3 แสนคน โดยปีการศึกษา 2556 พบว่า มีเด็กเพียงร้อยละ 30 หรือ 90,000 คน ที่ได้รับการศึกษา โดยเข้าเรียนในสถานศึกษาสังกัดต่างๆ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 70,000 คน กศน. 3,000 คน ศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ 20,000 คน เป็นต้น ซึ่งพบปัญหาทั้งการเข้าถึงการศึกษา เนื้อหาหลักสูตรที่ไม่สอดคล้องกับบริบทของเด็ก และไม่สามารถนำการเรียนรู้ที่ได้เชื่อมโยงกับการศึกษาของประเทศต้นทางของตนเองได้
"ยุวดี ศิลปกิจ" ผู้ประสานงานโครงการมูลนิธิช่วยไร้พรมแดน อธิบายว่าปัจจุบันมีศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าว ใน อ.แม่สอด มี 65 ศูนย์ ซึ่งมูลนิธิช่วยไร้พรมแดน จึงได้ให้การสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนการสอน ทุนการศึกษา และเงินเดือนครู 7 ศูนย์ และอาหารกลางวัน 8 ศูนย์ ซึ่ง ศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าว "อาโยนอู (Ah Youe Oo)" เป็นหนึ่งในศูนย์การเรียนรู้ที่ให้การสนับสนุน ปัจจุบันมีนักเรียน 139 คนและมีครู 7 คน
อย่างไรก็ตาม จากการจัดการศึกษาสำหรับเด็กไร้สัญชาตินั้น มีปัญหาคือเด็กไม่สามารถได้ใบรับรองวุฒิการศึกษาได้ เพราะบางส่วนไร้สัญชาติ และเด็กส่วนใหญ่สื่อสารภาษาไทยไม่ได้ ไม่สามารถไปเรียนต่อโรงเรียนไทยได้ รวมทั้งไม่สามารถไปเรียนต่อในพม่าได้ และการศึกษานอกโรงเรียนของไทยได้ เนื่องจากหลักสูตรไม่มีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งล่าสุด สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เข้ามาสนับสนุนศูนย์การเรียนรู้เอกชน และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) อ.แม่สอด จ.ตาก ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) มูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท และมูลนิธิช่วยไร้พรมแดน ได้ร่วมมือกันจัดทำชุดโครงการพัฒนาแนวทางและรูปแบบการจัดการศึกษาที่เหมาะสมกับผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและแรงงานข้ามชาติ (ศสร.) ร่วมกันจัดการศึกษาให้แก่เด็กในศูย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ เพื่อให้ได้รับวุฒิการศึกษาทั้ง กศน.ไทย และ กศน.พม่า นำร่องที่ศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าว อาโยนอู (Ah Youe Oo) และจากศูนย์ Parami โดยมีตัวแทนจากพม่ามาร่วมเป็นสักขีพยาน
"ดอเอ มี จี" (Daw Aye Myint kgi) ผู้ประเมินการศึกษาเมืองเมียวดี ประเทศพม่า กล่าวว่าโครงการนี้เริ่มต้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีกับเด็กพม่า เพราะจะสามารถเรียนต่อได้ทั้งกศน.ไทยและกศน.พม่า รวมทั้งหากต้องการกลับไปเรียนต่อในโรงเรียนพม่าก็สามารถทำได้ โดยต้องไปเรียนเทียบระดับเกรด 10 หรือ ม.4 ซึ่งคาดว่าอีก 1-2 ปีจะต้องประเมินผลการดำเนินการก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการต่อไปอย่างไรในอนาคต
"ลัดดาวัลย์ หลักแก้ว" มูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท และผู้จัดการโครงการพัฒนาแนวทางและรูปแบบการจัดการศึกษาที่เหมาะสมกับผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและแรงงานข้ามชาติ (ศสร.) กล่าวว่า ขณะนี้มีการนำร่องจัดการศึกษาให้แก่ลูกแรงงานข้ามชาติจากพม่าที่ได้รับการศึกษาในไทย สามารถกลับไปเรียนต่อที่พม่าได้ โดยนำรายชื่อเด็ก 81 คนจากศูนย์ Parami และ Ah yone Oo ไปลงทะเบียนไว้ที่โรงเรียนในรัฐกะเหรี่ยง 2 โรง ทำให้พม่าออกใบรับรองหลักสูตรการศึกษาของเด็กได้
อย่างไรก็ตามการจัดการศึกษาสำหรับเด็กไร้สัญชาติได้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเนื่องจากเด็กไร้สัญชาติ บางส่วนไม่มีเลข 13 หลักแม้ว่าจะเรียนในหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับจาก ศน.ทั้งไทยและพม่า ก็ไม่สามารถได้ใบรับรองวุฒิได้ ซึ่งในเรื่องนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือในการแก้ไขปัญหา และเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในอนาคต